หลังจากที่มีผู้โพสต์ภาพคลิปเหตุการณ์เด็กนักเรียน 2 กลุ่ม ตีกันบนถนนเพชรเกษม พร้อมอาวุธเป็นมีดยาว บริเวณหน้าสำนักงานสรรพากรพื้นที่สมุทรสาคร 2 สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขากระทุ่มแบน 2 ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยระบุข้อความพร้อมภาพว่า “เอ้าลุย !!! เสียงพวกพ้องก้องดังสั่งให้บุก พอตำรวจมาหยุด วิ่งหนีไม่มีหัน พอโดนจับที่บ้านมาประกัน พวกพ้องกันหายจ้อย....” จนกลายเป็นที่วิจารณ์ในโลกโซเชียลนั้น
ล่าสุดวันที่ 12 มิ.ย.เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เพื่อสอบถามผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งเปิดร้านขายอาหารอยู่บริเวณริมถนนเพชรเกษมฯ โดยนาง นาง จันถา แม่ค้าขายส้มตำเล่าว่า ในวันเกิดเหตุนั้นตนเองได้ยินเสียงคล้ายกับวัตถุระเบิดปิงปองปาลงพื้นถนน 2 ครั้ง เสียงดังสนั่น ก็วิ่งออกมาดู แล้วก็เห็นกลุ่มเด็กนักเรียน 2 กลุ่ม กำลังตีกันโดยมีอาวุธในมือเป็นมีดยาว ซึ่งตนเองก็รู้สึกกลัวจึงไม่กล้าที่จะเข้ามาดูใกล้ๆ ได้แต่ยืนดูอยู่ไกลๆ ที่บริเวณหน้าร้านส่วนความรู้สึกที่เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็บอกว่า รู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งครั้งนี้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบปี หลังจากที่เคยเห็นมานานแล้ว และก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นในสังคม
ขณะที่ในส่วนของเฟซบุ๊ก สถานีตำรวจภูธรกระทุ่มแบน เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมาก็ได้มีการแจ้งประชาสัมพันธ์ชี้แจงการดำเนินการเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยระบุว่า กรณีมีการเผยแพร่ วิดิโอ นักเรียนอาชีวะก่อเหตุทะเลาะวิวาท เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.นั้น สถานีตำรวจภูธรกระทุ่มแบน โดย พ.ต.อ.ภาคภูมิ ศรีลาภะมาศ ผกก.สภ.กระทุ่มแบน, พ.ต.ท.อำพล โอ่เอี่ยม รอง ผกก.ป.สภ.กระทุ่มแบน ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กระทุ่มแบน ร่วมกับอาจารย์สถานศึกษา, งานป้องกันเทศบาลนครอ้อมน้อย ร่วมกันทำงานแบบบูรณาการป้องกันเหตุนักเรียนทะเลาะวิวาท ตามเส้นทางที่นักเรียนอาชีวะ ใช้เป็นเส้นทางในการเดินทาง โดยเข้าประจำจุดป้องกันเหตุ ตั้งแต่เวลา 14.30 - 17.00 น.
โดยช่วงเวลาเกิดเหตุ กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดอยู่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันเหตุ โดยจุดเกิดเหตุบริเวณ หน้าสำนักงานสรรพากร ถ.เพชรเกษม ได้มีจุดที่เจ้าหน้าที่ประจำจุดป้องกันเหตุ จำนวน 2 จุด ที่หน้าโรงเรียนอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ และแยกอ้อมน้อย ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจึงได้ตรวจสอบและสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้จำนวน 5 คน ดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมทั้งได้แจ้งผู้ปกครองนักเรียน และอาจารย์ มารับทราบพฤติกรรมของนักเรียนดังกล่าว ทำข้อตกลงร่วมกัน เพื่อหาทางแก้ไขต่อไป และได้ให้รับตัวไปหลังทำการเปรียบเทียบปรับ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แม้จะไม่บ่อยมากนักแต่ก็สร้างความหวั่นกลัวให้กับผู้ที่พบเห็น และเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมไทย