บอร์ด สปสช.รับย้ายพ่อแม่พนักงานแบงก์ออมสินใช้สิทธิบัตรทอง

2019-06-12 12:30:20

บอร์ด สปสช.รับย้ายพ่อแม่พนักงานแบงก์ออมสินใช้สิทธิบัตรทอง

Advertisement

พนักงาน ธ.ออมสินเกือบ 6,000 คนโล่งอก หลังบอร์ด สปสช.ลงมติรับโอนย้ายสิทธิรักษาพ่อแม่สู่ระบบบัตรทอง ตามมาตรา 5 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เหตุเดือดร้อนหนัก ค่าใช้จ่ายพยาบาลเกินเพดาน 6 หมื่นบาทต่อปีรับภาระไม่ไหว ถึงขั้นขอลาออกเพื่อใช้สิทธิบัตรทอง ผู้แทนแบงก์ออมสิน แจงมีแค่ร้อยคนที่เบิกค่ารักษาพ่อแม่เต็มเพดาน แต่ขอย้ายเพราะมองเห็นภาระอนาคต 

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 ม.ย. ที่ผ่านมา ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุม ซึ่งมีมติเห็นชอบให้บิดามารดาของพนักงานธนาคารออมสินที่พนักงานแสดงเจตนาไม่รับสิทธิการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลสำหรับบิดามารดาจากธนาคาร เป็นบุคคลที่มีสิทธิรับบริการสาธารณสุข ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 พร้อมมอบ สปสช.กำกับติดตามประเมินผลการเข้าใช้บริการ

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ธนาคารออมสินเป็นรัฐวิสาหกิจที่ให้สิทธิประโยชน์การรักษารวมถึงบิดามารดา วงเงินไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี เกินจากสิทธิสวัสดิการมาตรฐานรัฐวิสาหกิจ ปี 2558 มีหนังสือสอบถาม สปสช.ขอให้พนักงานออมสินเลือกใช้สิทธิรักษาบิดามารดาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ได้หรือไม่ กรณีที่พนักงานไม่เลือกใช้สิทธิตามที่ธนาคารจัดให้ ต่อมา สปสช.ได้ทำหนังสือสอบถามไปกฤษฎีกาและได้ตอบกลับว่าสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าสิทธิในสภาพการจ้างที่กำหนด และพนักงานต้องแสดงความจำนง รวมถึงต้องให้ข้อมูลครบถ้วนกับพนักงานและทำประชาพิจารณ์

นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า จากการทำประชาพิจารณ์พนักงานที่เข้าร่วม 15,877 คน ส่วนใหญ่ให้บิดามารดาคงใช้สิทธิเดิม 10,063 คน คิดเป็นร้อยละ 63 มี 5,814 คน คิดเป็นร้อยละ 37 ที่ขอเปลี่ยนสิทธิบัตรทอง จากการเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์การรักษาของธนาคารออมสินคล้ายกับสวัสดิการข้าราชการ แต่จำกัดไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี และเข้ารับบริการที่ใดก็ได้รวมถึงโรงพยาบาลเอกชน และได้ยกร่างระเบียบใหม่เพื่อรองรับพนักงานที่ขอเปลี่ยนสิทธิการรักษาบิดามารดาแล้ว

นางนุชจรินทร์ ศิริจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล ธนาคารออมสิน กล่าวว่า เป็นความเดือดร้อนของพนักงาน เพราะมีพ่อแม่เจ็บป่วยเรื้อรังและต้องรักษา มีค่าใช้จ่ายเกินเพดานสิทธิ 60,000 บาท ทั้งนี้สาเหตุที่ไม่ได้โอนสิทธิพ่อแม่พนักงานทั้งหมด เพราะเป็นสัญญาสภาพการจ้าง การยกเลิกต้องทำประชามติและเสียงส่วนใหญ่ยังยืนยันใช้สิทธิรักษาของธนาคาร และในจำนวนพนักงาน 5,814 คนที่ขอย้ายสิทธินั้น มีแค่ 100 คนที่เบิกจ่ายเต็ม 60,000 บาท เพียงแต่คนกลุ่มนี้มองเห็นภาระค่ารักษาในอนาคต นอกจากนี้เมื่อดูสวัสดิการรักษาพ่อแม่ในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจะเป็นแบ่ง 3 รูปแบบ คือ 1.ให้สิทธิเบิกไม่จำกัดเช่นเดียวกับข้าราชการ 2.ไม่ให้สิทธิ โดยพ่อแม่ใช้สิทธิบัตรทอง และ 3.ให้สิทธิแต่จำกัดเพดานจ่ายเหมือนออมสินซึ่งมีไม่มาก นอกจากนี้ธนาคารยังกำหนดเงื่อนไขว่า ในการเปิดให้พนักงานเลือกสิทธิรักษาให้พ่อแม่ จะปรับเปลี่ยนภายหลังไม่ได้ โดยการเลือกนี้จะอยู่ถึงอายุงานสิ้นสุดลง

“มีน้องคนหนึ่งปกติคุณพ่อสุขภาพแข็งแรง แต่พอไม่สบายไปตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ก่อนหน้านี้พ่อเคยได้รับสิทธิบัตรทอง แต่พอน้องเข้าออมสินได้เพียง 2 ปี ปรากฏว่าเมื่อตรวจสอบสิทธิ ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ มีวิธีเดียวคือต้องลาออกจากธนาคาร ตรงนี้น้องเขาเลือกไม่ได้เพราะระเบียบธนาคารมีมาก่อน และสิทธิบัตรทองเป็นสิทธิที่ดี เราขอให้พิจารณาให้พ่อแม่พนักงานใช้สิทธิคนไทยคนหนึ่ง วันนี้ในกลุ่มไลน์ 500 คน กำลังรอคำตอบอยู่” นางนุชจรินทร์ กล่าว 

ทั้งนี้หลังจากที่ประชุมได้ถกเถียงหารือ ศ.นพ.ปิยะสกล ได้สอบถามความเห็นผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า สิทธิบัตรทองเป็นสิทธิตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในการพิจารณาต้องยึดหลักการตามมาตรา 5 ของกฎหมายเป็นหลัก ส่วนสิทธิการรักษาของออมสินถือเป็นสภาพการจ้างระหว่างพนักงานกับนายจ้าง และเป็นสิทธิเฉพาะพนักงานออมสินเท่านั้น จึงไม่เกี่ยวกับสิทธิตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ศ.นพ.ปิยะสกล กล่าวสรุปว่า ที่ประชุมส่วนใหญ่ต่างเห็นชอบ หากพนักงานลาออกมาก็ต้องใช้สิทธิบัตรทองเช่นกัน และระบบก็ดูแลธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อยู่แล้ว หากเพิ่มผู้มีสิทธิอีก 5,814 คน เมื่อเปรียบกับ 48 ล้านคนในระบบ คงไม่กระทบเท่าไหร่ และหลักการคงปฏิเสธคนไทยด้วยกันไม่ได้ เพราะมีสิทธิหลักประกันสุขภาพตามกฎหมาย แต่ต้องฝากออมสินด้วยว่า พนักงานที่เข้ามาใหม่จะมีการกำหนดสิทธิสวัสดิการนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง