บิ๊กกลาโหมสหรัฐ เสนอแผนส่งทหาร 120,000 นายเข้าตะวันออกกลาง หากอิหร่านโจมตีกองทัพสหรัฐ หรือเดินหน้าพัฒนานิวเคลียร์ ให้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ พิจารณา ระหว่างการประชุมฝ่ายความมั่นคงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานเมื่อวันจันทร์ว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้เสนอแผนการทหารฉบับปรับปรุงต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยการเสนอให้ส่งกำลังทหารถึง 120,000 นาย เข้าสู่ตะวันออกกลาง หากอิหร่านโจมตีกองทัพสหรัฐ หรือเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างเร่งด่วน โดยไทม์ส ซึ่งอ้างเจ้าหน้าที่ไม่เปิดเผยชื่อของรัฐบาลสหรัฐ ระบุว่า นายแพทริก แชนาแฮน รักษาการรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ เสนอแผนการดังกล่าวต่อที่ประชุมผู้ช่วยฝ่ายความมั่นคงของทรัมป์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่รอยเตอร์ไม่ได้ยืนยันรายงานข่าวดังกล่าว
ส่วนทำเนียบขาวยังไม่ได้แถลงอะไร ขณะที่ กระทรวงกลาโหมปฏิเสธที่จะแถลงเรื่องนี้
ทั้งนี้ ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและสหรัฐรุนแรงขึ้น ตั้งแต่ทรัมป์นำสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนานาชาติ ปี 2558 เพื่อหยุดยั้งกิจกรรมนิวเคลียร์ของอิหร่าน และรื้อฟื้นการใช้มาตรการคว่ำบาตรอย่างเข้มข้นครั้งใหม่ต่ออิหร่าน ทรัมป์ต้องการบีบบังคับให้เตหะรานตกลงเห็นชอบข้อตกลงควบคุมอาวุธอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น พร้อมทั้งส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน และเครื่องบินทิ้งระเบิดบี-52 เข้าสู่อ่าวเปอร์เซีย เพื่อแสดงแสนยานุภาพต่อสิ่งที่เจ้าหน้าที่สหรัฐบอกว่า เป็นภัยคุกคามต่อทหารสหรัฐในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม อิหร่าน แถลงว่าสหรัฐกำลัง “ทำสงครามจิตวิทยา” พร้อมเรียกการประจำการกองทัพสหรัฐในตะวันออกกลางว่า เป็น “เป้าโจมตี” มากกว่าเป็นภัยคุกคาม และบอกว่า มันจะไม่ทำให้อิหร่านหยุดส่งออกน้ำมัน
ไทม์ส บอกว่า ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มีนายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์, จีนา แฮสเปล ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ, แดน โคตส์ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ และโจเซฟ ดันฟอร์ด ประธานเสนาธิการร่วมกองทัพ
ไทม์สยังบอกด้วยว่า มีการเสนอหลายแผน และทางเลือกที่สำคัญที่สุด คือเรียกร้องให้ส่งทหาร 120,000 นายเข้าตะวันออกกลาง ซึ่งจะใช้เวลาในการดำเนินการหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนกว่าจะแล้วเสร็จ