อย.ชี้มูลนิธิข้าวขวัญแจ้งครอบครองกัญชาได้

2019-04-10 17:55:42

อย.ชี้มูลนิธิข้าวขวัญแจ้งครอบครองกัญชาได้

Advertisement

รองเลขาธิการ อย. ไม่ทราบเรื่องตำรวจจับกุมตัว “อ.ซ้ง” ชี้ตีความกฎหมายนิรโทษกรรมกัญชาไม่เหมือนกัน ระบุมูลนิธิข้าวขวัญสามารถแจ้งครอบครองกับทาง อย.ได้

เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แถลงกรณีการครอบครองกัญชาหลังจากนายพรชัย ชูเลิศ หรือ อาจารย์ซ้ง เจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญ ถูกจับกุมตัวไว้ในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครอง ซึ่งภายหลังได้ถูกประกันตัวออกมา ว่า กรณีการตรวจสอบที่ทำการของมูลนิธิข้าวขวัญ ใน จ.สุพรรณบุรี พบต้นกัญชา เมล็ดกัญชา และผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการแปรรูปจำนวนหนึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายปลดล็อกกัญชาเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงหรือไม่นั้น ทาง อย. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแจ้งรับการครอบครองกัญชาและพิจารณาอนุญาตตามข้อบัญญัติของกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้ผู้ครอบครองกัญชามาแจ้งการครอบครองให้ถูกต้องตามลักษณะของกัญชาที่ครอบครอง และวัตถุประสงค์การใช้ ซึ่งผู้แจ้งจะได้รับการยกเว้นโทษ ทั้งนี้ต้องแจ้งภายใน 90 วัน นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ โดยสิ้นสุดในวันที่ 19 พ.ค. 2562

ภญ.สุภัทรา กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าวที่มีการดำเนินคดีตามกฎหมายกับมูลนิธิทาง อย.ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งการตีความเกี่ยวกับกฎหมายนิรโทษกรรมของทางพนักงานสอบสวนและ อย.ต่างกัน ขึ้นอยู่กับการตีความข้อกฎหมายของเจ้าหน้าที่ในขณะนั้น ซึ่งขณะนี้เข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินคดีไปแล้วจึงขึ้นอยู่กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมยืนยันว่าถึงแม้ทางมูลนิธิกำลังอยู่ในช่วงการถูกดำเนินคดีก็ยังสามารถเข้าแจ้งการครอบครองกับทาง อย.ได้ ซึ่งมองแล้วว่ามูลนิธิดังกล่าวอาจเข้าข่ายผู้ครอบครองที่สามารถปลูกและผลิตร่วมกับทาง อย. เพื่อแจกจ่ายให้ผู้ป่วยในทางการแพทย์ได้

ภญ.สุภัทรา กล่าวด้วยว่า ในขณะนี้มีผู้มาแจ้งครอบครองกัญชาที่ อย. แล้วจำนวน 906 ราย โดยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ 11 รายและผู้ป่วย 895 ราย สำหรับในต่างจังหวัดมีผู้มาแจ้งครอบครองกัญชา เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ 5 รายและผู้ป่วย 442 ราย ทั้งนี้ทาง อย. ยินดีสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนายา รวมทั้งพืชเสพติด เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ให้ประชาชนมียาที่ดี มีประสิทธิภาพในการรักษา และไม่ปิดกั้นความก้าวหน้าทางวิชาการ

ภญ.สุภัทรา ยังกล่าวด้วยว่า ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่สามารถขออนุญาตปลูก ผลิต หรือสกัดกัญชา ไว้ดังนี้ 1.กรณีการปลูก ผลิตกรือสกัดกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ ใน 5 ปีแรก หลังกฎหมายบังคับใช้ ผู้ขออนุญาตต้องเป็นหน่วยงานของรัฐ เช่นมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีสอนทางการแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เกษตรศาสตร์ โรงพยาบาลรัฐ หรือบุคคลที่ต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงานของรัฐ เช่นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่มีการสอน, วิจัยทางการแพทย์หรือเภสัชศาสตร์ หรือแม้แต่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น สหกรณ์เกษตร วิสาหกิจชุมชนที่อยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐหรือสถาบันอุดมศึกษา ผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ขออนุญาตอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 2.ส่วนกรณีการปลูก ผลิต หรือสกัดกัญชา เพื่อการศึกษาวิจัย บุคคลดังกล่าวข้างต้นสามารถขออนุญาตได้โดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงานของรัฐแต่อย่างใด ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตเพื่อการศึกษาวิจัยไปแล้ว เช่น องค์การเภสัชกรรม (อภ.) มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร อย่างไรก็ตามขณะนี้ทาง อย.ได้ออกกฎหมายลูกเกี่ยวกับการครอบครองกัญชารองรับไว้แล้ว 2 ฉบับ ประกอบด้วย ฉ.1 การกำหนดคุณสมบัติแพทย์แผนไทย,หมอพื้นบ้าน ฉ.2 การอนุญาตให้เสพกัญชาเพื่อรักษาโรค ซึ่งทั้ง 2 ฉบับกำลังรอการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ กฎหมายลูกอีก 5 ฉบับ กำลังเสนอ ครม. 2 ฉบับ และ 3 ฉบับ เป็นกำหนดการในภาคกิจกรรมต่างๆของการใช้กัญชา ซึ่งทั้งหมดจะดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป