ตกต่ำแสนบัดซบ “เอ เชิญยิ้ม” เคยไร้อาหารยาไส้ เก็บอาหารเหลือเดนกิน

2019-04-09 13:30:39

ตกต่ำแสนบัดซบ “เอ เชิญยิ้ม” เคยไร้อาหารยาไส้ เก็บอาหารเหลือเดนกิน

Advertisement

มีแต่เสียงร้องโครกครากของลำไส้ที่มันบดตัวเข้าหากัน น้ำย่อยกัดกร่อนทำลายกระเพาะไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว กว่าจะผ่านพ้นมาได้ ชีวีนี้แทบจะแดดิ้น... เป็นอีกหนึ่งคนที่สามารถสร้างเสียงหัวเราะให้แฟนๆ ทั้งประเทศ สำหรับ "เอ เชิญยิ้ม" แต่ในชีวิตจริงของเขากว่าจะมีชื่อเสียงอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ต้องทำงานมาแล้วหลายอย่างหนักสุดถึงขั้นไปกินของเหลือจากคนอื่น



ล่าสุด เอ เชิญยิ้ม ได้เปิดใจถึงเรื่องราวชีวิตสุดรันทด ที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านช่วงแสนลำบากมาอย่างใหญ่หลวงกว่าจะมีวันนี้




ชีวิตวัยเด็กเป็นยังไง ?
เอ : เป็นเด็กบ้านแตก คือคุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกัน ตั้งแต่ผม 3 ขวบ ผมก็อยู่กับคุณพ่อมาตลอด ตอนเด็กๆ ก็มีคำถามเหมือนกันว่าแม่ไปไหน แต่พ่อก็ไม่ได้บอกให้เราเกลียดแม่ พ่อบอกว่ามีเหตุผลของผู้ใหญ่ที่ทำให้ไม่สามารถร่วมชีวิตกันได้ เราก็เข้าใจอยู่กับพ่อมาตลอดโดยที่คุณพ่อไม่มีภรรยาใหม่เลย



เคยถามพ่อไหมว่าทำไมแม่ถึงไป ปกติลูกจะอยู่กับแม่ แต่เราอยู่กัรบพ่อ เพราะอะไร ?
เอ : คุณพ่อถึงกับหอบลูกหนีในช่วงที่แยกกัน ต่างคนต่างแย่งลูก พ่อก็หอบลูกหนีไปอยู่ต่างจังหวัดไปอยู่ในที่ที่แม่ไม่สามารถตามได้



เคยเจอคุณแม่บ้างไหม ?
เอ : เคยเจอเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แล้วตอนนี้แม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว



เห็นว่ามีช่วงที่คุณพ่อตกงาน ช่วงนั้นเป็นยังไงบ้าง ?
เอ : คุณพ่อก็เปลี่ยนอาชีพจากตลกไปขายของ ไปขายลูกชิ้น ทำหลายๆ อย่างเพื่อหาเงินเลี้ยงลูก ในช่วงที่ลำบาก ไม่มีเงินจริงๆ เราก็ดิ้นรนไปขายเรียงเบอร์ตามตลาดสด ตอนนั้นฐานะทางบ้านยากจน ลำบาก

เริ่มทำงานตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?
เอ : ประมาณ 9 ขวบ ตามคุณพ่อไปคาเฟ่ ละขึ้นเวทีเล่นตลก เมื่อก่อนเพื่อนพาไปไหนก็ทำหมดเพื่อให้ได้เงิน คือเงินจะซื้อขนมกินในบางวันมันไม่มี เชื่อไหมน้ำอัดลมในยุคนั้นเดือนนึงนับครั้งได้ว่าจะกินได้กี่ครั้ง



จำได้ไหมความรู้สึกหดหู่กับอาชีพที่เราได้ทำตอนเด็กคืออาชีพอะไร ?
เอ : มันไม่มีนะ มันรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำ ไม่ได้รู้สึดรันทดหรือหดหู่อะไร



เห็นว่าอยากทานอาหารฟาสต์ฟู้ดด้วย ?
เอ : มันเป็นช่วงตกงาน เราไปหางานห้างแถวบางกะปิ มันเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนว่าเราจะเลือกทางไหน คือผมเล่นตลกตั้งแต่เด็กๆ พอถึงช่วงสิบกว่าขวบก็มีโอกาสไปทำงานกลางวัน แล้วเราก็ไปหางานแถวฟาดฟู้ดในห้างนั้นแล้วหิวข้าวไม่มีข้าวกิน เงินก็ไม่มี ก็ยืนมองคนที่เขากิน เขาทานเสร็จเขาก็ลุกไป เราก็มองซ้าย มองขวา เราก็ไปนั่งกิน ทีนี้ทางผู้จัดการเขามาเห็นเราก็บอกว่าเราไม่มีงานทำ



อายไหมตอนเขามาเห็น ?
เอ : คือก่อนหน้านั้นเราขึ้นไปสมัคร แล้วเขาจำเราได้ ก็ปรากฏว่าได้ทำงานนั้น ก็ได้เป็นพนักงานเก็บจาน ซึ่งทำงานช่วงแรกยังไม่มีเงินเดือนมื้อกลางวันก็อาศัยตรงนี้

เรารู้สึกน้อยใจในโชคชะตาบ้างไหม ?
เอ : ไม่ครับ ณ ช่วงเวลานั้นเราต้องเอาตัวเองให้รอด พอเงินเดือนเราออกเราก็มีเงินต่อชีวิตในเดือนต่อๆ ไป แต่ที่เก็บอาหารทานไม่ได้ทำตลอดนะ ทำแค่ช่วงแรกตอนที่ไม่มีเงินเท่านั้น ถามว่าเพื่อนล้อไหม ไม่ครับเพราะเราไม่ทำให้คนอื่นเห็น แอบใส่ถุงแอบไปกินในห้องน้ำ



ด้วยความขยันเห็นบอกว่าหลังจากเก็บจานก็ได้เลื่อนตำแหน่งมาเรื่อยๆ จนเป็นผู้จัดการ ?
เอ : ยังไม่ถึงขั้นผู้จัดการ จากเก็บจานได้สักพักนึงก็ไปเก็บรถเข็นอยู่ลานจอดรถ จากนั้นก็เลื่อนขั้นมาเป็นแพคกิ้ง ตอนนั้นเงินเดือนออก 2 ครั้ง ครั้งละ 2 พันกว่าบาท เดือนนึงก็ได้ สี่พันกว่าบาท ถามว่าพอไหมช่วงนั้นมันก็สิบกว่าขวบคิดว่าเยอะแล้ว จากนั้นก็ไปช่วยเขาโฟน แผนกโปรโมชั่นก็เลยมาเป็นพนักงานโฟนสินค้า เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังอยู่ที่ 4 พันกว่าเหมือนเดิม

แล้วผกผันมาเป็นตลกอาชีพตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เอ : พอมาเป็นพนักงานแผนกโปรโมชั่น ห้างสาขาใหม่กำลังจะเปิด เขาก็บอกว่าถ้าคุณยอมออกจากที่นี่แล้วไปอยู่สาขาต่างจังหวัด คุณจะได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า ในช่วงนั้นมีพี่ที่เป็นตลกเขามาชวน เราก็เลือกระหว่างออกจากงานแล้วไปเล่นตลก กับย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อได้ตำแหน่ง

ทำไมถึงเลือกไปเล่นตลก ?
เอ : มันเป็นสิ่งที่เรารัก ก็เลยตัดสินใจออกจากงาน ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัดสินใจมันถูกหรือผิด แต่เราคิดว่าการที่เราตัดสินใจมาทำอาชีพตลก มันคือสิ่งที่เรารักถึงแม้ว่ามันจะลำบากหรือจะประสบความสำเร็จหรือไหมเราไม่รู้ แต่เราได้อยู่กับสิ่งที่เรารัก

ครั้งแรกที่เข้าคณะตลกคือคณะอะไร ?
เอ : ได้ไปอยู่กับไมเคิ้ล ยิ้ม ตอนนั้นยังไม่ได้ใช้เชิญยิ้ม แล้วก็มีช่วงที่ผลัดเปลี่ยน ตอนนั้นคือ พี่หนู เชิญยิ้ม มาตั้งคณะ พี่ไมเคิ้ลก็เลยว่าบอกว่าฝากน้องด้วย ก็ได้เป็นตัวแถมเข้าไปในคณะ

ณ ตอนนั้น รายได้ ?
เอ : รายได้ก็ดีขึ้นมา วันละประมาณ 2 พันกว่าบาท ตอนนั้นชีวิตเปลี่ยน ผมให้พ่อหยุดทำงานเลยไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรเลย ลูกจะเลี้ยงพ่อเอง

เห็นว่าโดนพักงาน ?
เอ : ใช่ครับ สาเหตุมาจากผมมีแฟน คือตอนนั้นพี่หนูเขาดูแลผมไม่ใช่แค่ลูกน้อง ดูแลในลักษณะเหมือนน้องชาย ตอนนั้นก็กลายเป็นเราตกงาน




ตอนนั้นเลือกความรักไม่เลือกงาน ?
เอ : ใช่ครับ แล้วที่มาคบกับแฟนคนนี้ เพื่อนๆ พี่ๆ ในคณะเขาก็จะพูดกันว่ามันไปกันไม่รอดหรอก อายุห่างกันตั้ง 11 ปี ก็ไม่คิดว่าผู้หญิงที่เจอวันนั้นจะครองรักกันมาถึง 21 ปี

เคยโดนล้อไหมว่ามีเมียแก่ ?
เอ : มีครับ เวลาเจอเพื่อนเขาก็ถามว่าวันนี้ซื้อหมากให้เมียหรือยัง

เคยลำบากมาด้วยกันถึงขั้นไหน ?
เอ : ตอนนั้นผมก็ตกงาน ทุนทรัพย์ของภรรยาที่มีมาในช่วงแรกก็ดีอยู่ หลังๆ มาก็ลำบากอยู่ ช่วงที่มีลูกคนแรก ตลกก็ไปอยู่คณะเล็กลง รายได้ก็น้อยลง บางทีก็ไม่พอกิน ต้องหาอาชีพเสริม ไปขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง กลางคือเล่นตลก บางวันรายได้ไม่พอก็ไปเช่าแท็กซี่มาขับ คือดิ้นรนทุกทางเพื่อมาจุลเจือครอบครัว

ที่มาร้องเพลงมันเกี่ยวไหมที่งานตลกเราลดลง ?
เอ : ไม่เกี่ยวครับ แต่ว่ามันจะเกี่ยวเหตุผลที่ว่างานทีวีไม่ได้แน่นเหมือนในช่วง 4-5 ปีที่แล้ว ก็จะมีเวลาว่างบ้างที่จะมาทำงานเพลงหรืองานอื่นๆ ได้บ้าง