มากกว่าแค่ความสวย! เปิดใจ "เชอรี่ เมลิสา" จากนางงามสู่เส้นทางการเมือง

2019-02-28 10:00:27

มากกว่าแค่ความสวย! เปิดใจ "เชอรี่ เมลิสา" จากนางงามสู่เส้นทางการเมือง

Advertisement

มีดีกรีเป็นถึงมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2006  และเคยเป็นตัวแทนประเทศไทยในการประกวดมิสเวิลด์ 2006 ที่ประเทศโปแลนด์มาแล้ว แต่นั่นอาจจะเป็นแค่ภาพจำของคนทั่วไปที่รู้จัก  "เชอรี่-เมลิสา มหาพล"  ผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 กรุงเทพมหานคร เขตคลองเตย-เขตวัฒนา  พรรคชาติพัฒนา  สาวที่พ่วงดีกรีปริญญาเอก  จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี  วันนี้เราจะมาทำความรู้จักเธอมากขึ้น กับมุมมองความคิดทางการเมืองและสังคม






ทำไมถึงตัดสินใจมาลงเล่นการเมือง ?

ที่ผ่านมาก็มีคนติดต่อพูดคุยเรื่อยๆ เกี่ยวกับการเมืองนะคะ เราก็มองว่าทำไมมันดูไกลตัวเราจังเลย เมื่อก่อนก็ต้องบอกว่าเราไม่ได้เข้าใจการเมืองอย่างแท้จริง เรามองว่าไม่ใช่เรื่องของเราหรือเปล่า แล้วเราเข้าไปจะทำอะไรได้ เราก็หันมาเรียนต่อจนตอนนี้จะจบ ปริญญาเอกแล้ว เรียนด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ก็ทำให้เราได้มีความรู้ ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ได้รู้จักพี่ๆที่อยู่ในวงการนี้มากขึ้น เราก็เห็นว่าสิ่งที่เราทำมาเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลา 10กว่าปีเนี่ย เรื่องของการกุศล เรื่องของกิจกรรมเพื่อสังคม หรือเราได้ช่วยเหลือใคร จริงๆก็คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งนั้นเลย ทีแรกเราไม่เคยรู้ว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เราก็คิดว่ามันคือกิจกรรมที่เราชอบทำ เพราะฉะนั้นถ้าเราชอบทำเรื่องแบบนี้ เราก็สามารถทำการเมืองได้นะ



แล้วเราก็คิดว่าถึงเวลาของคนรุ่นใหม่แล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่เรารู้สึกอยากให้มันเปลี่ยนแปลง ถ้าเรารอให้คนโน่น คนนี้ คนนั้น เข้ามาเปลี่ยนแปลง เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามาเมื่อไหร่ เขาจะทำได้อย่างที่เราต้องการไหม พอครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาส ผู้ใหญ่เขาก็ให้โอกาสเรา เราก็มองว่าเราก็มีศักยภาพ แล้วก็ถึงเวลาด้วยอายุ ด้วยวัยก็เหมาะสมแล้ว ก็ลองดูว่าเราเข้ามาจะได้มีโอกาส หรือว่าจะได้ทำบทบาทอะไรเพิ่มขึ้น เพราะว่าการเป็นนางงาม เราก็ได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมนะ แต่ว่าเป็นนางงามเสียงไม่ดังมาก เป็นนางงามจะของบเพื่อจะมาทำโน่นนี่นั่นก็ยาก ไม่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นเรื่องยาก ก็จะเป็นเรื่องที่จะชวนคนมาบริจาค ลงทุน ก็จะได้ภาพเอฟเฟ็คต์แบบเล็กๆ แต่ถ้าเรามาทำงานตรงนี้ ก็เหมือนกับว่า เสียงของเราจะดังขึ้น อยากจะช่วยใครก็ทำได้มากขึ้น อย่างบางเรื่องถ้าเราจะไปช่วยเขา เขาก็จะมองว่าคุณเป็นใคร คุณมาจากไหน แต่พอเรามาทำทำหน้าที่ตรงนี้ คุณมีสิทธิ์ทำได้นะ เพราะคุณเป็นนักการเมือง คุณต้องยุ่งด้วยซ้ำ ถ้าคุณไม่ยุ่งจะถือว่าละเลย ถ้าอย่างนั้นก็คิดว่าน่าจะลองนะ ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ประจวบเหมาะ พร้อมกับการที่เราเข้าใจอะไรมากขึ้น หลายบทบาทหลายมิติ อยากจะทำในมิติที่เราอาจจะได้เปรียบคนอื่น ด้วยความรู้ความสามารถค่ะ



แล้วทำไมถึงตัดสินใจเลือกลงการเมืองกับพรรคชาติพัฒนา ?

เพราะว่าเรารู้ว่าสโลแกนของพรรคชาติพัฒนา คือ No Problem เราจะไม่มีปัญหากับใคร คำว่าไม่มีปัญหากับใคร ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ คำว่า No Problem เวลามีปัญหา เราจะทำอย่างไรให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป เราต้องการหาวิธีแก้ปัญหาโดยที่ไม่มีปัญหากับใคร ไม่ต้องทะเลาะกับใคร เป็นการก้าวข้ามความขัดแย้ง กับอีกอย่างหนึ่งกับการที่เราได้เข้ามาพูดคุยกับผู้ใหญ่



อย่างบางที่เขาอาจจะวางโรดแมปว่า คุณต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้เท่านั้น คุณต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้เท่านั้น เราพูดถึงภาพรวมนะคะ แต่พรรคนี้ค่อนข้างจะให้อิสระทางความคิด แล้วถ้าคุณมีไอเดียดีๆ อะไร นโยบายอะไรที่อยากทำ อยากให้ช่วยกันทำ เป็นนโยบายใหม่ๆ ขึ้นมา ผู้ใหญ่ก็จะรับฟังความคิดเห็น เราจะมีการประชุมอยู่เรื่อยๆค่ะว่าอันนั้นดีมั้ย อันนี้ดีมั้ย เหมือนเป็นการเปิดโอกาส ให้คนรุ่นใหม่ได้มาทำอะไรใหม่ๆจริงๆ เพราะถ้าเราไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถของเรา มันก็จะเป็นการใช้วิธีการเดิมๆ เพียงแค่เอาคนใหม่ เข้าไปทำ เพราะฉะนั้นการเป็นคนรุ่นใหม่ มีความคิดใหม่ๆ ก็จะไม่เกิดผลอะไรเลย



จากเส้นทางนางงาม ต้องมาลงเล่นการเมือง 2อย่างนี้ มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน



จริงๆ ก็อาจจะแตกต่างนะ ช่วงนั้นก็ยังอายุยังน้อย ก็อาร์ดคอร์อยู่เหมือนกัน แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ตื่นเช้า ตอนนี้ก็นอนน้อยแต่ว่าอาจจะเหนื่อยกว่าตอนนั้นเพราะอายุมากขึ้น (หัวเราะ) แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นต้องบอกว่ามันมีทั้งความเหมือนและความต่างนะคะ ทั้งเรื่องเวลาที่เราจะต้องจัดการ อย่างตอนนั้นเวลาจะไปไหน แม้จะไปทำงานเพื่อสังคมในบางครั้งบางงานก็จะต้องใส่มงกุฎไปด้วยซ้ำ

บางทีไปสถานที่แบบไกลๆก็ยังต้องไปแบบสวยๆ อย่างตอนนี้ถ้ามีเวลามากหน่อย ก็ไปสภาพสวยบ้าง ก็ไปสภาพสวยกลางๆ บ้าง แต่ดูแย่คงไม่ได้ เพราะคนก็คาดหวังว่าจะต้องเจอเราในสภาพที่โอเค บางคนไปเขาก็จำเราได้อยู่ บางคนก็เห็นจากในรูป สำหรับความแตกต่างก็มีและความเหมือนก็มี แต่อาจจะเป็นเรื่องของการทำที่ลึกขึ้น เพราะว่าอย่างแต่ก่อนเราทำงานก็ทำแบบเป็นกลุ่มกันไป ช่วยกันทำกิจกรรม เมื่อเราทำกิจกรรมนี้เสร็จ เราก็ทำอย่างอื่นต่อ แต่พอเราทำตรงนี้ เราจะต้องเข้าถึงประชาชนเป็นภาคใหญ่ขึ้นค่ะ เพราะเป็นเรื่องของประเทศ เราก็ต้องเข้าไปรับฟังปัญหา ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ คนกลุ่มนี้ลำบาก เราไประดมทุนช่วยคนกลุ่มนี้กัน มันแก้ง่ายทำแล้วก็เสร็จไป แต่อันนี้มันเป็นปัญหาที่เรื้อรัง มันต้องใช้ความรู้ความสามารถอะไรเยอะ ต้องใช้สมอง ความคิดตลอดเวลา ในการวางแผนและลงพื้นที่ แต่ถ้าเป็นนางงามก็ลงพื้นที่แบบสวยเลย มีที่นั่งให้ทุกอย่างดี แต่อันนี้เราต้องเดินเข้าไปหา ทักทายสวัสดีพ่อแม่พี่น้อง ก็จะเป็นอีกรูปแบบนึง จากที่เป็นนางงามไปมีคนรอต้อนรับ แต่พออันนี้เราต้องเข้าไปหาประชาชน ก็ได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง เราก็โชคดีอย่างหนึ่ง ไปลงพื้นที่ ไม่เคยมีใครพูดจาไม่ดีใส่เรานะ ทุกคนก็โอเค ยิ้มแย้มแจ่มใส ก็ทำให้เรามีกำลังใจ แต่ก็มีบ้างในโลกโซเชียล แต่เราก็โกรธเขาไม่ได้ เพราะเขายังไม่รู้จักเรา ก็มีที่ชอบ และเคลือบแคลงสงสัยในตัวเราก็มีอยู่บ้างค่ะ



ตอนไปหาเสียง เราชูจุดเด่นอะไรของเรา ในการหาเสียงแต่ละครั้ง



ต้องบอกเลยว่า เราชูความจริงใจของเรา ด้วยลักษณะหน้าตา อุปนิสัย เราก็จะยิ้มแย้มแจ่มใสของเราอยู่แล้ว เวลาใครคุยกับเราเขาก็จะรู้ว่าพูดออกมาจากใจจริงๆ แล้วอีกอย่างสิ่งที่เราพูด เวลามีคนสอบถามนโยบาย สิ่งที่เราพูดไป จะต้องเป็นสิ่งที่ทำได้ เราจะไม่พูดสร้างฝัน สร้างภาพสวยหรู จนทำให้คิดว่าจะทำได้จริงมั้ยเนี่ย หรือพูดไปแล้วมัดตัวเอง ไม่น่าทำได้ แต่พูดไปให้ดูดีไว้ก่อน ถ้าลักษณะแบบนี้เราจะไม่ทำ สิ่งที่เราพูด คือ สิ่งที่เราคิดว่าจะทำได้ มีโอกาส มีแนวโน้มว่าสิ่งที่พูดเกิดขึ้นได้จริงค่ะ



การเมืองยุคใหม่ ควรจะมีลักษณะเป็นอย่างไร


ตอนนี้กระแสคนรุ่นใหม่มาแรงมาก แต่ในมุมมองของเชอรี่ คนรุ่นใหม่สำคัญจริง แต่เราก็ต้องมีพื้นที่ให้คนรุ่นเก่าด้วย เพราะในบางมุมคนรุ่นใหม่ก็คิดได้ไม่ถึง แต่ในขณะเดียวกันคนรุ่นเก่า ก็อาจจะคิดไม่ถึงไอเดียแบบคนรุ่นใหม่เช่นกัน เพราะฉะนั้นการเมืองรุ่นใหม่ แบบใหม่ที่จะเกิด เป็นเรื่องของการผสมผสานมากกว่า เพียงแต่ว่าคนรุ่นเก่า ก็ต้องยอมรับว่า ถึงเวลาแล้วที่คนรุ่นใหม่ จะต้องเข้ามามีบทบาท คนรุ่นเก่าอาจจะเป็นที่ปรึกษา หรืออาจจะบอกเล่าประสบการณ์ว่า ถ้าคุณทำอย่างนี้ ผลที่จะเกิดมาตามหลักสถิติ มันจะเป็นแบบนี้นะ แต่ต้องเปิดให้ไอเดียของคนรุ่นใหม่ หลั่งไหลเข้ามาเยอะๆ เพราะว่าเราต้องยอมรับว่า เราจะไปยึดติดกับอะไรเก่าๆอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว โลกเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าคุณดึงดันว่า ฉันชินแบบนี้ ฉันเคยอยู่มาแบบนี้ อยากจะเป็นแบบเดิม เท่ากับว่าคุณกำลังถอยหลังแล้ว เท่ากับว่าเราฝืนธรรมชาติ กับสิ่งที่จริงๆแล้วโลกเราเปลี่ยนไป



ถ้ามีโอกาสเป็น ส.ส. อยากจะผลักดันนโยบายหรือเรื่องไหนเป็นพิเศษ

จริงๆ โดยส่วนตัว อยากทำหลายเรื่องมากๆ เพราะเราก็เรียนจบด้านสิ่งแวดล้อมมา (ป.ตรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ) แต่เราก็เห็นว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมมีหลายคนที่เขาก็ทำ ในพรรคของเราก็จะมีกลุ่มที่ทำเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เราก็ได้ช่วยเขาด้วย แต่สิ่งที่เรามองว่าเรามีจุดเด่นก็คือเรื่องของสตรีและเด็ก เราคิดว่าเป็นจุดแข็ง

อย่างประสบการณ์ที่เราเคยโดนลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ตอนเด็กๆ เราเป็นคนที่ประสบเหตุจริงๆ เราก็นึกถึงความรู้สึกของเราตอนนั้นยังเด็ก ยังไม่ได้กลัวมากเท่าไหร่ ก็คิดจะหนีออกมา ย้อนไปภาพวันที่ตอนพ่อแม่ได้เห็นตัวเรากลับมา เขาร้องไห้ แล้วเราก็คิดว่า ถ้าเราไม่โชคดีอย่างนั้นล่ะ ถ้าเป็นบ้านอื่นที่เขาโดนแบบนี้ แล้วลูกไม่ได้กลับล่ะ ที่เราเห็นติดประกาศกัน

หรือเรื่องผู้หญิงที่ถูกข่มขืนล่วงละเมิดทางเพศ จริงๆแล้ว คนที่อายต้องไม่ใช่ผู้หญิงนะคะ คนที่อายต้องเป็นคนทำ เพราะเขาทำสิ่งไม่ดี มันต้องเป็นเรื่องของกฎหมายที่ต้องให้แรง แต่มันก็มีกระแสว่าเราเป็นเมืองพุทธ มีไม่ได้หรอกโทษประหาร ถ้าแบบนั้นใครๆ จะทำเรื่องนี้แบบนี้ก็ได้เหรอ? เรื่องข่มขืน แล้วถ้ายิ่งข่มขืนแล้วฆ่า หรือต้องเป็นตราบาปทั้งชีวิต หากผู้หญิงที่เป็นเหยื่อท้องอีก ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร คนผิดก็แค่ติดคุก ออกมาก็ใช้ชีวิตปกติ มันยุติธรรมตรงไหน เพราะฉะนั้นเราจะกลัวอะไรถ้าหากจะมีคนถูกประหาร เพราะโทษแบบนี้จะทำให้เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดก็น้อยมาก แต่ถ้าเราไม่ได้ผลักดันเรื่องนี้เลย เห็นแค่ว่าเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมากในปัจจุบัน ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็จบไป ปัญหานี้จะไม่มีทางแก้ไขได้เลย เราก็มองประเทศอื่นเขาก็ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแบบนี้ หรือมีน้อย ก็เพราะว่า กฎหมายเขาแรง ของเราก็มัวแต่จะไม่ได้หรอก มันดูใจร้ายเกินไป เพราะว่าคุณไม่ใช่คนโดน(เหยื่อ)ไง เพราะถ้าคุณเป็นคนที่โดน หรือลูกสาวคุณต้องโดนแบบนี้ จะยอมมั้ย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำ เราต้องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด ไม่ได้อยากให้ใครต้องมาโดนลงโทษประหารค่ะ





อยากจะนำเสนอบอกอะไรเกี่ยวกับเชอรี่ ในมุมที่คนบางคนอาจจะยังไม่รู้จักตัวตนของเราบ้าง

สำหรับเชอรี่ ตลอดเวลาที่ทำงานมา ตั้งแต่เรียนจบ ปีนี้ก็ปีที่ 13 แล้ว บางคนอาจจะรู้จักเราในมุมมองของนางงาม จริงๆแล้วตัวเชอรี่เอง ทำอะไรมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องงานในวงการบันเทิง มีประสบการณ์ทำธุรกิจ ซึ่งตอนนี้ก็ทำอยู่เกี่ยวกับโกดังค้าส่งสินค้า 20บาท ตรงนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เราเจอคนเยอะขึ้น แล้วโดยส่วนใหญ่คนที่อยู่ในวงการนี้

ก็จะมีทั้งคนที่เป็นเจ้าของที่ก็อาจจะร่ำรวยหน่อย แต่คนที่เปิดร้านเล็กๆ เขาก็จะมีโอกาสคลุกคลีกับคนที่เราเรียกกันว่า รากหญ้าอยู่เยอะ ทำให้เราได้ยินเสียงได้ฟังอะไรมาเยอะว่าจริงๆปัญหาคืออะไร ธุรกิจนี้ทำให้เราเห็นผลกระทบได้รวดเร็ว เพราะว่าลูกค้าเราก็จะเป็นอีกระดับหนึ่ง ทำให้เราเห็นผลกระทบอะไรเยอะมาก ทำให้เราเห็นว่า จริงๆเรามีโอกาสที่ได้รับฟัง

ได้คิด เกิดไอเดียหลายอย่าง ในเรื่องที่เราจะมาช่วยแก้ไขปัญหา บางคนบอกว่าคุณเป็นนางงามมาจะมีประสบการณ์อะไร ได้แต่ยิ้มสวย จริงๆเราก็ทำมาหลายอย่าง อย่างรายการที่เราทำ โชคดีที่มีโอกาสได้ทำรายการสร้างสรรค์สังคม เราได้ทำรายการที่เกี่ยวกับเด็กออทิสติก ผู้บกพร่องทางจิต หรือคนเป็นดาวน์ซินโดรม เราก็จะเห็นถึงปัญหาสังคม บางอย่าง

จริงๆ ด้านการเมืองบางครั้งละเลยคนกลุ่มนี้ เขาก็คือประชาชนของเรา คนก็อยากจะเข้าไปช่วยในบางจุดที่ถูกหลงลืม เหมือนอยากอุดรอยรั่วตรงนี้ด้วย เคยมีโอกาสไปต่างประเทศ เราก็จะเห็นคนที่เป็นผู้พิการ เราเห็นเยอะมากเลย จนเราสงสัยว่าประเทศนี้คนพิการเยอะเหรอ แต่จริงๆคือไม่ใช่ เพราะจริงๆไม่ว่าจะระบบการขนส่ง คมนาคม หรือการออกแบบอะไรก็ตาม

เขาทำเพื่อให้เอื้อให้ทุกคนใช้ประโยชน์ได้จริงๆ มันก็ทำให้เราไปไหนก็เห็นคนพิการเยอะ มันเป็นเพราะเขาสามารถใช้ขนส่งมวลชนได้ ของเราน่ะ กลายเป็น คนพิการมีหน้าที่ คือ ต้องอยู่บ้าน แล้วอยู่ไปก็ซึมเศร้า ซึมเศร้า ก็เครียด พอเครียด เวลาเรามีคนอยู่ในบ้านเป็นแบบนี้ เราไม่ได้เครียดคนเดียว มันจะกระทบไปยังคนอื่นๆ ทำให้คนในบ้านก็จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต อีก

แล้วจะต้องเสียเวลา แทนที่จะไปหาเงิน ก็ต้องเอาเวลามาดูแลคนที่พิการ แทนที่เขาจะมีอาชีพได้ ออกไปทำงานก็ทำไม่ได้ มันเกิดเป็นผลพวง ผลกระทบตามกันมาหมด เพราะฉะนั้นการที่เราละเลยในจุดบางจุด เราอาจจะมองเป็นแค่จุดเล็กๆ แต่มันส่งผลกระทบเยอะแยะมาก อยากจะช่วยเหลือตรงนี้ด้วยค่ะ
















Cr. ขอบคุณภาพ misscheriemtw

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

"เชอรี่" สวมสายสะพายมิสไทยแลนด์เวิลด์หาเสียง