เป็นแม่แต่ดูแลไม่ได้ “เง็ก กัลยา” ระทม !! ถูกพรากลูกออกจากอก

2019-02-26 16:15:18

เป็นแม่แต่ดูแลไม่ได้ “เง็ก กัลยา” ระทม !! ถูกพรากลูกออกจากอก

Advertisement

นักแสดงเจ้าบทบาท “เง็ก กัลยา” กัดฟันผ่านมรสุมชีวิตถูกพรากลูกออกจากอกไปให้คนอื่นเลี้ยง!! เผยความรู้สึกตอนเจอกัน เหมือนรักแรกพบ

ถือเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทอีกคน สำหรับนักแสดงมากความสามารถอย่าง “เง็ก กัลยา เลิศเกษมทรัพย์” ที่โลดแล่นในวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็ก และอย่างที่ทราบกันว่าเง็กนั้น เคยแต่งงานมาแแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัวเลย งานนี้เง็ก ก็ได้เปิดใจเรื่องการแต่งงานกับอดีตสามีกับทางรายการคุยแซ่บ Show ถึงประเด็นดังกล่าวว่า…


“ใช่ค่ะ ตอนที่แต่งงานก็แต่งกันแบบเงียบๆ ไม่ได้หวือหวาหรือมีพิธีใหญ่โตอะไร ซึ่งส่วนมากจะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องครอบครัวสักเท่าไหร่ มันผ่านมานานมากแล้ว ตอนนี้ลูกชายอายุ 20 ปี ส่วนเรื่องการมีครอบครัวแล้วนั้น ก็ไม่ได้ถึงขั้นปิดข่าว คือช่วงที่เรามีสามี มีครอบครัว ก็เลี้ยงลูกใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่ผ่านมาสักระยะ เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลยต้องแยกทางกันไป ใช้ชีวิตคู่ได้สักประมาณ 4 ปีกว่าค่ะ”

เหตุผลหลักที่ต้องตัดสินใจแยกทางกับสามีคืออะไร ?

“เหตุผลหลักๆ เลยก็คือ การที่ผู้ชายเจ้าชู้อะไรแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะผ่านมาแล้วเรื่องมันก็จบ แต่ในความรู้สึกลึกๆ ของเราแล้ว เรารู้สึกได้เลยว่าอันนี้มันไม่ใช่ แล้วพอมันเริ่มรู้สึกเยอะๆ เราก็จะเป็นคนที่แบบว่าตัดออกเลย ก็ปล่อยเขาไป”

หลังจากแยกทางกัน ก็ไม่ได้เจอลูกอีกเลย เกิดอะไรขึ้น ?

“ก็ช่วงแรกๆ มีการตกลงว่าเราจะจัดการดูแลลูกคนละอาทิตย์ ผ่านไปสักพักเขาก็พาลูกย้ายโรงเรียนหนีเราไปเลย ตอนนั้นเราตกใจมาก เราก็ตามหาไปจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ ก็หามาเรื่อยๆ จนได้มีการพูดคุยกับตัวเขา แล้วเขาก็ขอเอาลูกไปเลี้ยงเอง หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เจอลูกอีกเลย สาเหตุที่ไม่ให้เราเจอลูก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเหตุผลของเขาคืออะไร”


ตอนที่ตัดสินใจแยกทงกัน จบกันไม่ดีใช่ไหม ?

“ใช่ค่ะ จบไม่ค่อยดีเท่าไร คือมันมีเรื่องเข้ามา อาจจะมีเรื่องผู้หญิงหรือมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วเราก็ตัดสินใจออกมาจากตรงนั้น”

ลำบากใจไหม ตอนที่ลูกต้องไปอยู่กับแม่เลี้ยง ?

“คือต้องบอกว่าเรื่องลูกเป็นอะไรที่เซนซิทีฟมาก เวลาไปกองถ่ายเจอใครที่พาลูกมา ก็จะร้องไห้ตลอดเลย แต่เราบังคับมันไม่ได้ ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ เราก็ต้องปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถึงเราจะเสียใจร้องไห้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องไปอยู่ดี”

เสียใจกับการไม่ได้เจอลูกนานแค่ไหน ?

“ก็ผ่านมาสักพักนึงค่ะ แต่เราก็พยายามทำทุกอย่างที่จะได้เจอเขา แล้วเอาเขากลับมาอยู่กับเรา ก็โดนแกล้ง โดนหลอกอยู่ตลอด บางทีโทร.หาเราว่าลูกอยู่ที่นั่นที่นี่ เราก็รีบตามไปเพื่อจะเจอ แต่พอไปถึงปรากฏว่าไม่มี ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการอะไร ทำไปเพื่ออะไร เวลาลูกไปโรงเรียนงานกีฬาสีอะไร เราก็ได้แต่ไปแอบดู ก็เป็นแบบนี้มาตลอดค่ะ จนวันหนึ่งก็มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาบอกว่า เดี๋ยวเวลาผ่านไปเราจะได้เจอลูกเอง เวลาเขาโต เขาก็จะมาหาเราเอง ซึ่งมันก็คือเรื่องจริง”


แล้ววันที่ได้เจอลูกก็มาถึง ความรู้สึกตอนนั้น ?

“อย่างที่บอกค่ะ เราก็ได้เล่าให้ผู้ใหญ่ท่านนี้ฟัง แล้วเขาก็ช่วยพูดให้ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ ผ่อนลง ให้เราได้มีโอกาสเจอลูกบ้าง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นมา ความรู้สึกที่เจอกันคือเหมือนเราเจอแฟน เหมือนรักแรกพบ เจอแล้วตื่นเต้น หัวใจมันเต้นแรง มันดีใจมาก หัวใจเรามันพองโต ก็ร้องไห้เลยค่ะ ถึงแม้ว่าตอนนั้นเขาอาจจะยังไม่โตมาก และยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไร แต่เราก็ดีใจที่ได้เห็นพัฒนาการแต่ละช่วงวัยของเขา หลังจากนั้นเราก็เจอกันบ่อยขึ้น”

อยากจะบอกอะไรถึงลูกชายไหม ?

“ก็รักเขาอยู่แล้วค่ะ เพราะถึงยังไงก็เป็นลูกของเรา อยากให้เขาดูแลตัวเองดีๆ ตั้งใจเรียนหนังสือ ถึงยังไงแม่ก็รักลูกนะ”




ทุกวันนี้รู้สึกยังไงบ้าง ยังโกรธอดีตสามีอยู่ไหม ?

“มันก็ผ่านมานานแล้วนะ ซึ่งตอนนี้เราก็ดีต่อกันแล้ว ตามความรู้สึกของเรา คือเรื่องมันก็ผ่านไปแล้วนะ เราก็รู้สึกโอเคขึ้น อีกอย่างก็ไม่ได้ไปยึดติดอะไร เหมือนฟ้าเขาลิขิตมาเป็นแบบนี้ เราก็ต้องก้าวเดินต่อไปคิดว่าคงไม่นานหรอก มันเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นแหละ”

พูดถึงตัวเองบ้าง เห็นว่าตอนนี้ก็มีแฟนหนุ่มดูแลอยู่ ?

“ก็มีอยู่ค่ะ คือจริงๆ แล้วเป็นเพื่อนกันอยู่กันมาตั้งนานแล้ว มันก็มีเป็นช่วงที่เราแยกกันไปแล้วก็กลับมาคบกันใหม่ รวมๆ แล้วก็ประมาณ 17 ปี เรื่องทุกอย่างของเราเขาก็รับรู้นะ คือเขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็น อยู่กับเราได้ เพราะเราเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อน จะต้องมีคนที่คอยช่วยเบรกเราตลอด ถึงจะอยู่กันได้ยาวค่ะ”

คบกันมาก็นาน มีคุยเรื่องแต่งงานกันบ้างหรือเปล่า ?

“คือต้องบอกว่าเขาจะเป็นคนขี้อาย เพื่อนเราหลายคนก็เชียร์นะ แต่สำหรับเราคือมีความรู้สึกว่า เราลูก 20 ปีแล้วนะ จะมานั่งแต่งงานอะไรอีก มันไม่ได้เกี่ยวกับการแต่งงานแล้วนะ ไม่ใช่ว่าแต่งงานแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นการครอบครอง มันไม่ใช่นะ คือการแต่งงานมันไม่ใช่บทสรุปว่าผู้ชายคนนี้จะต้องอยู่กับเราไปตลอดเวลา พอผู้ชายออกจากบ้านไป จะไปอยู่ที่ไหนเราก็ไม่รู้แล้ว คือมันตามไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นเราอยู่ด้วยกันใช้ความเชื่อใจกันดีกว่า”

เข็ดกับเรื่องที่เจอมาในอดีตหรือเปล่า ?

“มันก็ไม่ได้เข็ดขนาดนั้นนะคะ คือถ้าเราจะคบใคร เราต้องดูนิสัยใจคอ ดูว่าเขาเป็นยังไง ถ้ามาแบบใจร้อนก็อยู่กับเราไม่ได้หรอกค่ะ” 






ลูกชาย

เง็ก และแฟนหนุ่ม


ขอบคุณรูปจากอินสตาแกรม: @ngekza