จิตแพทย์ชี้คบซ้อนใช้สมอง "ส่วนอยาก” มากกว่า "ส่วนคิด”

2019-02-25 18:00:44

จิตแพทย์ชี้คบซ้อนใช้สมอง "ส่วนอยาก” มากกว่า "ส่วนคิด”

Advertisement

จิตแพทย์ชี้เป็นแฟนกันต้องนึกถึงใจเขาใจเรา ระบุคนเรามีสมองส่วนอยากไม่มีที่สิ้นสุด แต่สามารถยับยั้งพฤติกรรมได้ด้วยสมองส่วนคิด ระบุการคบซ้อนเพราะใช้แต่สมองส่วนอยาก

เมื่อวันที่ 25 ก.ค. นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงพฤติกรรม และความสัมพันธ์แบบคนรักในสังคมไทย จากกรณีศิลปินชื่อดังที่เป็นข่าวคบซ้อน ว่า การมีแฟนนั้นสิ่งสำคัญต้องนึกถึงใจเขาใจเรา เพราะเวลามีสัมพันธภาพกับใครก็ต้องการให้มีความไว้วางใจน่าเชื่อถือ หากเราต้องการได้รับสิ่งเหล่านี้ก็ต้องทำในสิ่งเดียวกัน ทั้งนี้คนเรามีสมองส่วนอยาก ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด จึงสามารถไขว้เขวได้ แต่คนเราจะสามารถยับยั้งพฤติกรรมเหล่านี้ได้ด้วยสมองส่วนคิด ที่มีความเข้มแข็งมากกว่า แต่ที่มีการคบซ้อนเป็นเพราะเราใช้แต่สมองส่วนอยาก โดยไม่ได้มีการใคร่ครวญ ผู้ที่ทำเพราะคิดว่าตัวเองมีสิทธิ แต่ลืมคิดว่าหากเป็นตัวเองอยากให้การคบโดยคบเราเป็นทางเลือกหรือไม่ การตามใจตัวเองที่สุดก็จะมีปัญหา

“สัมพันธภาพของคนเราจะยืนยาวไม่ได้อยู่ที่การควบกันหวานชื่นเท่านั้น แต่ตัวที่สำคัญคือ มีความผูกพันและมีความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่มาจากสมองส่วนคิดเป็นหลัก ซึ่งความยั่งยืนคือสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันแล้ว ในขณะที่ความรู้สึกที่พิศวาสความรักหวานชื่นเป็นความรักมาจากสมองส่วนอยาก แต่ทุกคนไม่ได้อยากที่จะมีความรู้สึกพิศสวาท หวานชื่นเพียงแค่ 5 ปี 10 ปีแล้วจบเท่านั้น คนเราต้องการความยั่งยืน ดังนั้นต้องรู้จักมองใจเขาใจเรามองระยะยาว คนก็จะได้ข้อคิดสำหรับตัวเองมากขึ้น” นพ.ยงยุทธ กล่าว

นพ.ยงยุทธ์ กล่าวต่อว่า จากการศึกษาพบว่าคนที่ผ่านเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตมาวันหนึ่งเขาสามารถกลับมาเข้มแข็งได้ และสามารถมองโลกได้กว้างขึ้น แต่สำหรับคนที่ยังรู้สึกแย่ควรคุยกับเพื่อน กับครอบครัว หรือปรึกษานักจิตวิทยาได้ ส่วนคนใกล้ชิดก็ให้ยึดหลัก 3 ส 1.สอดส่องมองหาคนใกล้ว่ามีปัญหา 2. ใส่ใจรับฟัง และ3.ส่งต่อเชื่อมโยง

เมื่อถามว่านอกจากความสัมพันธ์ของ คน 2- 3 คนแล้ว คนเสพสื่อบนโซเชียลมีเดียก็มีอารมณ์ร่วม ตอบโต้รุนแรง ยั่วยุให้เลิกกัน จะมีคำแนะนำอย่างไร นพ.ยงยุทธ กล่าวว่า กรณีนี้จะเรียกว่า เบลมสปีช (blame Speech) คือการตำหนิกันเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว โดยเริ่มใช้ถ้อยคำตำหนิที่รุนแรง ต้องยึดหลัก 2 ไม่ 1 เตือน ประกอบด้วย 2 ไม่ คือ 1.ไม่สื่อสารความรุนแรง 2.ไม่ต่อความรุนแรง และ เตือน ด้วยถ้อยคำที่สุภาพและนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง ส่วนกรณีมีการหวาดระแวงต่างเข้าไปตรวจสอบโซเชียลมีเดียของคนรักต่างๆ นั้นเรียนว่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนรักกันต้องมีความไว้วางใจเป็นกติกาเป็นสัญญาใจร่วมกัน เพราะไม่สามารถติดตามชีวิตคนรักได้ตลอดเวลา แต่หากฝ่ายใดละเมิดกติกาหรือสัญญาก็จะสิ้นสุดลง

โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า คนเสพข่าว และแสดงความคิดเห็นหรือส่งต่อข้อความต่างๆ นั้นจะเป็นตัววัดคุณภาพของจิตใจ ถ้าสุขภาพจิตไม่ดีก็จะส่งสารที่แย่ๆ ออกไป และการเข้าไปในสังคมออนไลน์จะขาดการยับยั้งชั่งใจดึงเอาสิ่งที่ไม่ดีออกมาส่งต่อ ดังนั้นต้องอย่าลดระดับคุณภาพจิตของตัวเองให้ต่ำด้วยการส่งต่อข้อความที่ไม่ดี ทั้งนี้สภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญ คือ อารมณ์ด้านบวก ต้องมีให้มาก มีอารมณ์ด้านลบให้น้อย มีคุณภาพจิตที่ดี มีความสามารถทางจิตใจ เช่น การจัดการกับอารมณ์และความเครียด มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น หากจะเดินหน้าต่อไปก็ต้องรู้จักนำเรื่องนี้มาปรับใช้ทำให้คุณภาพจิตของเราดี ไม่ทำให้สุขภาพจิตเราต่ำลง