รับแมนๆ “โอ๊ต วรวุฒิ” เป็นโรคติดบ้าน ยอมทิ้งธุรกิจเพื่อลูก

2019-02-25 15:00:23

รับแมนๆ “โอ๊ต วรวุฒิ” เป็นโรคติดบ้าน ยอมทิ้งธุรกิจเพื่อลูก

Advertisement

ทิ้งธุรกิจโรงแรมเกือบร้อยล้าน “โอ๊ต วรวุฒิ” เผยกำลังป่วยเป็นโรค Homesick อยากกลับมาหาลูกตลอดเวลา ลั่น! ไม่คิดจะออกจากวงการ อยู่ในสายเลือดแล้ว 

เป็นคู่รักต่างวัยที่อายุห่างกันเกือบรอบ สำหรับ “โอ๊ต วรวุฒิ นิยมทรัพย์” และแฟนสาว “จีน่า อันนา มานัตนันท์” ที่แต่งงานจนมีทายาทตัวน้อยแล้วถึง 2 คน อย่าง “น้องโอลาฟ” และ “น้องโอเลิฟ” ที่คอยสร้างสีสันให้ครอบครัว นอกจากนี้ยังทำให้คุณพ่ออย่างหนุ่มโอ๊ต ติดแจจนกลายเป็นโรคติดบ้านกันเลยทีเดียว

ล่าสุด หนุ่ม "โอ๊ต" ก็ได้ควงภรรยาสาว "จีน่า"  พร้อมทั้งลูกๆ มาคุยเปิดใจที่รายการคุยแซ่บ Show ถึงอาการดังกล่าว งานนี้เจ้าตัวก็ยอมรับตรงๆ เลยว่า...


 “เราชอบทำธุรกิจอยู่แล้ว มันก็กลายเป็นสิ่งที่เราทำประจำ ที่บุรีรัมย์ก็มี 40 ห้อง 2 อาคาร แต่พอทำไปแล้วมันอยู่ไกลบ้าน เราคิดถึงลูก คือโปรเจกต์นี้เกิดขึ้นก่อนที่ลูกคนที่ 2 จะมา แล้วลูกคนแรกผมเลี้ยงเองตลอด แล้วพอมาคนที่ 2 เรารู้สึกว่าความใกล้ชิดระหว่างผมกับโอเลิฟมันห่างกัน เราสงสารลูก และไม่อยากให้ลูกไม่สนิทกับเรา แล้วมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรค Homesick คิดถึงบ้าน อยากจะกลับบ้านตลอดเวลา” 

ช่วงนี้พี่โอ๊ตพักงานในวงการ ?

โอ๊ต : "จริง จบงานครั้งสุดท้ายก็ประมาณปีนึง ตอนหลังไม่ค่อยได้รับงานเบื้องหน้า เพราะไปทำงานเบื้องหลัง แล้วกลับมารับงานละครเรื่องนึง และไปทำธุรกิจอยู่ต่างจังหวัด"

ตอนนี้เป็นคุณพ่อเต็มตัวเหนื่อยมั้ย ?

โอ๊ต : "เหนื่อยแต่มีความสุขมาก คนไม่มีลูกไม่มีทางรู้เลยว่า เวลามีลูกมันจะมีความสุขแค่ไหน โอ้โห...มันมหัศจรรย์มาก"


ตอนนี้ครอบครัวอยู่กรุงเทพฯ แต่พี่โอ๊ตมีธุรกิจอยู่ที่บุรีรัมย์ ?

โอ๊ต : "มีที่บุรีรัมย์กับพัทยา ที่บุรีรัมย์เป็นธุรกิจโรงแรมแต่เป็นโรงแรมขนาดเล็ก ประมาณ 40 ห้อง จริงๆ บุรีรัมย์จะเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ เราก็เลยไปสร้างโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ตอนนี้โรงแรมใกล้เสร็จแล้วครับ"

แล้วทั้งคู่อายุห่างกันกี่ปี แล้วไปเจอกันที่ไหน ?

โอ๊ต : "อายุห่างกัน 21 ปี ผมไปเจอเขาที่ร้านเพื่อน แล้วเขาเหมือนเป็นรุ่นน้องของเพื่อน ก็ได้คุยกัน"

จีน่า : "วันนั้นก็มีแลกไลน์กัน ตอนนั้นยังไม่มีอะไร นานๆ ทีถึงจะทักทีนึง ถามว่าเขาบุกยังไง หนูบุกเอง คือเพื่อนเขาแนะนำให้รู้จัก เขาก็เลยบอกขอไลน์ไว้หน่อย ตอนนั้นก็ชอบคนมีอายุ เซอร์ๆ หนวดๆ แบดๆ ดี"

ขอย้อนเวลาก่อนที่จะเจอจีน่า เจ้าชู้หนักขนาดไหน ?

โอ๊ต : "อย่างที่บอกมันน่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายที่มีปัญหาในเรื่องของครอบครัว ตอนที่เรามีแฟนเราไม่ได้เป็นแบบนั้น ตอนนั้นเรามีแฟนเก่าแล้วก็เลิกรากันไป"


มันเป็นปมหรือเปล่า ?

โอ๊ต : "ก็ใช่แหละ เรารู้สึกว่าเราไม่อยากจริงจังกับใครแล้ว เราไม่อยากมีครอบครัวอีกแล้ว กลัว คิดว่าจะอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ทีนี้ก็อยู่คนเดียวไม่ได้ก็ต้องออกข้างนอกตลอดเวลา ก็ใช้ชีวิตแบบเสเพล อาจจะเห็นแก่ตัวบ้าง เลวบ้างในสายตาของคนอื่นก็ยอมรับ"

คำว่าเสเพลขอเป็นยอดสถิติดีกว่า คือคบซ้อนทีละกี่คน ?

โอ๊ต : "ก็เยอะ แต่ไม่ถึงขั้นสาวๆ ตบตีกันแย่งเรา เขาไปเคลียร์กันข้างหลังเอง ก็ใช้ชีวิตเสเพลมาประมาณ 6-7 ปี พอมันเริ่มเหนื่อยกับตรงนั้นก็เลยอยากหาอะไรโฟกัส เราเริ่มรู้สึกว่าเราอยากมีแค่คนเดียวแล้วโฟกัสไปกับเขา คือเวลาไปไหนมาไหนมันคิดถึงคนคนเดียว มันมีความสุขมากกว่า แต่อดีตมันก็คืออดีต ปัจจุบันมันเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว"




แล้วมันมีเกณฑ์อะไรมาเลือกว่าจะอยู่กับใคร ?

โอ๊ต : "ผมใช้ความรู้สึกเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับระยะเวลา ช่วงนั้นจีน่าเขาเข้ามา แล้วมีความรู้สึกว่าเวลาอยู่กับเด็กคนนี้แล้วมีความสุขมาก รู้สึกเอ็นดูเขา แต่ต้องบอกเลยว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีแฟนเด็กขนาดนี้ แล้วก็ไม่ชอบด้วย เพราะมีความรู้สึกว่าเด็กคุยยาก"

หล่อขนาดนี้สาวๆ วิ่งเข้าหาเยอะ จีน่าห่วงมั้ย ?

จีน่า : "ตอนนั้นก็ห่วงนิดหน่อย แต่เขาทำให้เรามั่นใจ จริงใจ คือเขาเป็นยังไงเขาก็แสดงออกชัดเจนเลย"

โอ๊ต : "ผมเป็นมนุษย์ที่ไม่โกหก รับได้ก็รับ รับไม่ได้ก็ต้องรับ ก็บอกเขาหมด"

ถามจีน่าอะไรที่ชนะใจเรา ?

จีน่า : "ก็ความจริงใจจริงจังของเขาที่เข้าไปคุยกับแม่เรา จริงจังที่จะคบเราเป็นแฟน"

โอ๊ต : "คบประมาณ 1 เดือน แล้วเข้าไปขอพ่อแม่เขาว่า ขอคบลูกสาวเขาเป็นแฟนแล้วก็ขอมีลูกเลย ตอนนั้นแม่หน้านิ่งมาก ไม่ยิ้ม ไม่อะไรเลย คือวันนั้นผมเดินเข้าไปสวัสดี แล้วเดินเข้าไปขอลูกสาวเขาเป็นแฟน แล้วก็ว่าจะขอมีลูกด้วยเลย แม่ก็ถามว่าทำไมรวดเร็วขนาดนั้น ผมก็เลยบอกว่ากลัวผมตายก่อน แม่ก็บอกว่าคบกันไปก่อน ดูกันไปก่อน แล้วตอนหลังคุณแม่เขามาสารภาพว่า เป็นแฟนคลับเรา ติดตามผลงานเราอยู่"

ตอนนี้ถือเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แฮปปี้มากมั้ย ?

โอ๊ต : "ผมว่าจุดหนึ่งคือการมีลูก ลูกนี่เปลี่ยนทุกอย่าง เปลี่ยนทัศนคติส่วนตัว มีมุมมอง คือโฟกัสมันเปลี่ยนที่มันไปอยู่ที่ลูก ทุกอย่างไปอยู่ที่ลูกหมด


เคยคิดอยาจะออกจากวงการเพื่อจะได้อยู่กับลูกมากขึ้นมั้ย ?

โอ๊ต : "ไม่เคยคิดเลิกเลย มันเหมือนอยู่ในสายเลือดเราไปแล้ว คือยังคิดถึงวงการ คิดถึงการทำงานตลอดเวลา แต่เราอยากหาอะไรที่มันมั่นคงเป็นหลักประกันให้กับลูก แล้วอีกอย่างเราชอบทำธุรกิจอยู่แล้ว มันก็กลายเป็นสิ่งที่เราทำประจำ ที่บุรีรัมย์ก็มี 40 ห้อง 2 อาคาร แต่พอทำไปแล้วมันอยู่ไกลบ้าน เราคิดถึงลูก คือโปรเจกต์นี้เกิดขึ้นก่อนที่ลูกคนที่ 2 จะมา แล้วลูกคนแรกผมเลี้ยงเองตลอด แล้วพอมาคนที่ 2 เรารู้สึกว่าความใกล้ชิดระหว่างผมกับโอเลิฟมันห่างกัน เราสงสารลูก และไม่อยากให้ลูกไม่สนิทกับเรา แล้วมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรค Homesick คิดถึงบ้าน อยากจะกลับบ้านตลอดเวลา"


อาการหนักขนาดไหน อาจจะถึงโรคซึมเศร้าเลยเหรอ ?

จีน่า : "อาจจะไม่ถึง แต่ก็เป็นห่วง เขาก็โทรศัพท์มาทั้งวัน ต้องโทร.มาเพื่อให้เห็นหน้าลูก"

โอ๊ต : "เขาก็จะรู้ว่าเวลาผมโทร.มาทั้งวันนั่นคือผมผิดปกติ แล้วเพิ่งมาเป็นหนักๆ คือ 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ก่อนไม่เป็น แต่ก่อนสนุกมาก หลังๆ เวลาไปอยู่บุรีรัมย์ปุ๊บใจมันอยู่กรุงเทพฯ ตลอดเวลา ใจมันอยู่ที่ลูก อยากกลับกรุงเทพฯ อย่างเดียวเลย ตอนนี้รู้สึกว่าหนักกว่าเดิมอีก"

ถึงขั้นจะขายโรงแรม ?

โอ๊ต : "มันมี 2 ประเด็น คือ อยากให้มีคนมาเทคโอเวอร์ต่อ แต่ว่ามันคือความฝันของเรา เรามีความรู้สึกว่าถ้ามีคนมาเทคโอเวอร์ เรายินดีทำให้สำเร็จตามภาพที่เราฝันเอาไว้โดยไม่คิดมูลค่าเพิ่ม ส่วนที่ 2 ก็คือถ้าหากว่าพระเจ้าอยากให้เราทำ ไม่ต้องการให้เราขายเราก็จะทำต่อ แต่ถ้ามีคนมาเทคโอเวอร์ ผมปล่อยเลย ขอเวลากลับมาอยู่กลับลูก ถามว่าลงทุนไปเท่าไหร่ ก็เกินครึ่งร้อยล้าน" 














ขอบคุณรูปจากอินสตาแกรม: @oat_voravudh, @jenaanna