รมว.มหาดไทยเผยเสนอแนวทางแก้ฝุ่นพิษเข้า ครม. ระบุวันที่ 7 ก.พ. 13 ก.พ. สภาพฝุ่นก็จะเพิ่มมากขึ้น การติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณฝุ่นละอองในตัวเมืองใหญ่ยังมีไม่เพียงพอ ไม่ได้มาตรฐาน ชี้เครื่องวัดปริมาณฝุ่นมีคุณภาพราคา 8 ล้านบาท เตรียมนำชุดโมบายมาเพิ่มเติมก่อน
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง ว่า หลังจากที่ได้มีการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมจะนำแนวทางที่ได้เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ขณะเดียวกันได้มีการพูดถึงเรื่องฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ว่ามีอันตรายมากน้อยแค่ไหน โดยภาพรวมแล้วสถานการณ์ฝุ่นในปีนี้ถ้าเทียบกับปีที่ผ่านมามีน้อยกว่า ซึ่งทางด้านการแพทย์ยืนยันว่าการส่งผลกระทบต่อสุขภาพต้องใช้เวลาและไม่มีหลักฐานว่าเมื่อร่างกายได้รับไปแล้วจะส่งผลทันที กลุ่มที่ควรระวังคือเด็กซึ่งจะส่งผลกระทบในอนาคต ขณะที่ผู้ใหญ่อาจจะสะสมเป็น 10 ปีจึงจะแสดงผล สำหรับแหล่งกำเนิด PM 2.5 นั้น มาจากรถยนต์ดีเซล 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือมาจากการก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม
รมว.มหาดไทย กล่าวต่อว่า การดำเนินการบางอย่างจะใช้ไม่ได้ผล เช่น PM 10 จะใช้น้ำฉีดได้ผล แต่ถ้าเป็น PM 2.5 จะต้องไปแก้ที่ต้นกำเนิด โดยมี 3 มาตรการ คือ มาตรการเร่งด่วน แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ใช้กฎหมายปกติ เช่นใน กทม.ห้ามรถบรรทุกเข้าพื้นที่ในห้วงเวลาที่กำหนด และต้องมีการตรวจ รวมถึงต้องไม่มีค่าของเขม่าเกินตามที่กฎหมายระบุไว้ ส่วนมาตรการเสริม เช่น การกวาดถนนการฉีดละอองน้ำ ขณะที่มาตรการที่ 3 และ 4 เป็นการใช้มาตรการเสริมพิเศษอื่นๆถ้าจำเป็น ทั้งนี้ภายหลังจากนายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือประชาชนก็มีผลตอบรับที่ดีขึ้น หน่วยราชการไม่ใช้รถดีเซล โดยในวันที่ 7 และ 13 ก.พ.นี้ สภาพฝุ่นก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกห้วงหนึ่ง ขณะเดียวกันการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณฝุ่นละอองในตัวเมืองใหญ่ยังมีไม่เพียงพอและไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเครื่องวัดปริมาณฝุ่นมีคุณภาพราคา 8 ล้านบาท แต่ควรมีการนำชุดโมบายมาเพิ่มเติมก่อน