กิน “สะเดา” ต้านมะเร็ง

2019-02-04 17:05:53

กิน “สะเดา” ต้านมะเร็ง

Advertisement

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกแนะกิน “สะเดา” ต้านโรคมะเร็ง สรรพคุณแก้ไข้ ช่วยเจริญอาหาร ลดการอักเสบ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ส่วนผักพื้นบ้านอื่นมีสรรพคุณเหมือนกันทั้ง มะระขี้นก ขี้เหล็ก ย่านาง ตำลึง บัวบก ดอกแค มะรุม ขมิ้นชัน ฟักข้าว กระชาย

เมื่อวันที่ 4 ก.พ. นพ.สรรพงศ์ ฤทธิรักษา ประธานศูนย์ข้อมูลยาสมุนไพรการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า วันที่ 4 ก.พ.ของทุกปีเป็นวันมะเร็งโลก ในปัจจุบันประชาคมโลกให้ความสำคัญกับโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น เพราะถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนควรทำความรู้จัก โรคมะเร็งเป็นโรคที่ใช้ระยะเวลานานหลายปีในการก่อให้เกิดโรค มีสาเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน เช่น การได้รับรังสีอิออนไนซ์ สารเคมีที่เป็นพิษ อาหารและน้ำดื่ม รวมถึงพันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต และสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทย พบว่ามีแนวโน้มอัตราป่วยเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นทุกปี และกว่าร้อยละ 70 เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ดังนั้นเพื่อเป็นเกราะป้องกันภาวะการเกิดโรคดังกล่าว โดยใช้หลักทางธรรมชาติ การบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันของมนุษย์ด้วยผักพื้นบ้านต้านโรค จึงขอแนะนำผักพื้นบ้านริมรั้วที่มีสรรพคุณ ช่วยต้านโรคมะเร็ง เช่น สะเดา มะระขี้นก ขี้เหล็ก ย่านาง ตำลึง บัวบก ดอกแค มะรุม ขมิ้นชัน ฟักข้าว กระชาย ซึ่งผักเหล่านี้เป็นพืชสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายต้านการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยปรุงเป็นอาหาร


นพ.สรรพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเมนูที่แนะนำในช่วงฤดูกาลนี้คือ สะเดาลวกจิ้มน้ำพริก สะเดาน้ำปลาหวาน เนื่องจากช่วงนี้สะเดาออกผลผลิตมามากมีขายในตลาดทุกท้องที่ สะเดามีวิตามินและสารสำคัญต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีสรรพคุณแก้ไข้ เจริญอาหาร ลดการอักเสบ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยต้านมะเร็ง สำหรับวิธีการลวกสะเดาตามภูมิปัญญาพื้นบ้านทำได้ง่าย ๆ คือ ลวกในน้ำเดือดหรือน้ำข้าวร้อน ๆ ประมาณ 1 นาที เพื่อลดความขม หากต้องการเก็บสะเดาไว้รับประทานนาน ๆ ให้นำสะเดาที่ลวกไปตากแดดให้แห้งสนิท เก็บไว้ในภาชนะที่สะอาดและโปร่งแสง เมื่อต้องการ จะรับประทานก็นำมาลวกน้ำร้อนอีกครั้ง

“นอกจากเมนูอาหารจากสะเดาช่วยต้านมะเร็งแล้ว ยังมีเมนูจากผักพื้นบ้านอื่น ๆ ที่ช่วยได้ เช่น แกงขี้เหล็ก มะระขี้นกผัดไข่ แกงส้มดอกแค แกงส้มมะรุม แกงจืดตำลึง นอกจากนี้ก็ควรที่จะออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ช่วงนี้แนะนำให้ ออกกำลังกายภายในบ้านด้วยท่ากายบริหารร่างกายแบบฤๅษีดัดตน สามารถศึกษาวิธีการได้ที่เว็บไซต์กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และควรทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น การสวดมนต์ ทำสมาธิ ฟังเพลง เป็นต้น ช่วยให้จิตใจเบิกบาน”นพ.สรรพงศ์ กล่าว