เมื่อวันจันทร์ ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ เดินทางไปยังโบสถ์โรมันคาทอลิก เมืองโจโล จังหวัดซูลู ภาคใต้ของประเทศ ที่ถูกโจมตีด้วยระเบิด 2 ครั้งซ้อน ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 20 ราย และบาดเจ็บอีกมากกว่า 100 ราย ระหว่างที่ชาวคริสต์ประกอบพิธีมิสซาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นับเป็นเหตุการณ์โจมตีนองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี โดยเหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียง 6 วันหลังจากการจัดแสดงประชามติปกครองตนเองในภูมิภาคที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งประชาชนก็ลงคะแนนสนับสนุนการปกครองตนเองด้วยเสียงท่วมท้น
หลังการตรวจสอบพื้นที่และเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลแล้ว ประธานาธิบดีดูเตอร์เต ก็ประกาศให้กองทัพเดินหน้าปฏิบัติการ "บดขยี้" กลุ่มกบฏอาบู ไซยาฟ ที่ให้คำมั่นภักดีต่อนักรบรัฐอิสลาม หรือไอเอส โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงประเมินว่า นักรบอาบู ไซยาฟ น่าจะเหลืออยู่ 300 ถึง 400 คน และส่วนใหญ่ก็กบดานอยู่ในจังหวัดซูลู
อย่างไรก็ตาม กลุ่มไอเอส ออกมาอ้างความรับผิดชอบสำหรับการโจมตีครั้งนี้ ผ่านสำนักงานอามัค สื่อกระบอกเสียงของไอเอส ที่ระบุว่า เหตุระเบิด 2 ครั้งซ้อน มีผู้เสียชีวิตถึง 120 ราย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจฟิลิปปินส์ กำลังสอบสวนพบว่า การโจมตีเป็นฝีมือของกลุ่มกบฏอาบู ไซยาฟ ที่ขึ้นชื่อในการวางระเบิดโจมตีอย่างป่าเถื่อน
การโจมตีมีขึ้นหลังการประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ในฟิลิปปินส์ ประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์โรมันคาทอลิก ลงมติปกครองตนเอง ซึ่งเรียกว่า เขตบังซาโมโร ประชาชนกว่าร้อยละ 85 ลงคะแนนสนับสนุน
แม้ว่าจังหวัดซูลู เป็นหนึ่งในพื้นที่ไม่กี่แห่งที่ลงมติปฏิเสธการปกครองตนเอง แต่ก็จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเขตปกครองตนเองที่จะตั้งขึ้นอย่างสมบูรณ์ในปี 2565
