เทรนด์ยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดปี 62

2019-01-17 11:20:57

เทรนด์ยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดปี 62

Advertisement

อย่างที่ทราบกันดีว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ความหย่อนคล้อยของผิวหนังก็จะเริ่มถามหา โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าซึ่งเป็นบริเวณที่พบเห็นได้มากที่สุด อันเนื่องมาจากความสามารถในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งเป็นโครงของผิวหนังจะค่อย ๆ ลดลงตามวัย อีกทั้งยังมีการฝ่อตัวของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของโครงกระดูก ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้เกิดสภาพปัญหาต่าง ๆ เช่น รอยย่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ถุงใต้ตา หนังตาตก เหนียงใต้คาง บริเวณกรอบหน้าจากเดิมเห็นแนวกรามชัดเจนจะค่อย ๆ กลายเป็นเนื้อนิ่ม ๆ ย้อยลงมา ทำให้เห็นขอบกรามไม่ชัด บริเวณขมับฝ่อตัวลง เป็นต้น

เนื่องด้วยมีเทคโนโลยีการยกกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดหลายวิธี จะเห็นได้ว่าบางวิธีเคยได้รับความนิยมอยู่ช่วงหนึ่งแต่หลัง ๆ ก็เริ่มไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร บางวิธีก็ยังคงเป็นที่นิยมแม้ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าวิธีที่ได้ผลดีก็ยังคงความนิยมอยู่ได้แม้ว่าจะมีวิธีใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก็ตาม ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเทคโนโลยีการยกกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดในปี พ.ศ.2562 นี้ว่ามีเทคโนโลยีใดที่ได้ผล ยังคงเป็นที่นิยมและมีความปลอดภัยบ้าง

1. เทคโนโลยีคลื่นวิทยุหรือคลื่นอาร์เอฟ

คลื่นวิทยุหรือคลื่นอาร์เอฟ เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานสิบกว่าปีแล้ว และยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ได้ผลและใช้กันเป็นหลักในปัจจุบัน คลื่นกลุ่มนี้จะสามารถลงไปในผิวหนังชั้นลึกด้วยอุณหภูมิที่สูงพอที่จะทำให้เกิดการตึงตัวของเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้เกิดการสร้างตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวหนังตึงขึ้น ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ให้พลังงานกลุ่มคลื่นอาร์เอฟได้หลายชนิด แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันในชนิดของการส่งผ่านคลื่น รวมทั้งการเหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนใต้ผิว จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีกลุ่มนี้ จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป บางชนิดทำแล้วได้ผลนานเป็นปีภายหลังการทำเพียงครั้งเดียว เนื่องจากสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนที่มากพอที่จะกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน แต่มีข้อเสียคือราคาสูง เครื่องบางชนิดอาจต้องทำหลายครั้งและได้ผลไม่เท่ากับเครื่องที่ให้พลังงานสูง แต่มีราคาย่อมเยากว่า

2. เทคโนโลยีคลื่นโฟกัสอัลตราซาวด์

คลื่นกลุ่มนี้คือการเปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นพลังงานความร้อนใต้ผิวหนัง เพื่อทำให้ผิวหนังตึงตัวขึ้น คลื่นอัลตราซาวด์ชนิดที่ใช้สำหรับยกกระชับใบหน้าจะให้พลังงานที่สูงมากเมื่อเทียบกับอัลตราซาวด์ที่ใช้ส่องช่องท้อง คลื่นอัลตราซาวด์สำหรับยกกระชับผิวหน้าจะถูกออกแบบให้พลังงานลงไปที่ผิวหนังระดับชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อหรือชั้นสแมส ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่หมอผ่าตัดใช้ทำการผ่าตัดดึงหน้า เมื่อผิวหนังชั้นนี้ตึงตัวขึ้น ใบหน้าจึงดูยกขึ้นคล้ายกับการผ่าตัดดึงหน้า เครื่องมือกลุ่มนี้เริ่มมีงานวิจัยสนับสนุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสามารถยกกระชับอย่างได้ผล อย่างไรก็ตาม เครื่องมือกลุ่มนี้มีหลายยี่ห้อในท้องตลาด แต่ละเครื่องจะมีการให้ความร้อนใต้ผิวหนังแตกต่างกันรวมทั้งข้อมูลด้านความปลอดภัยก็ต่างกัน ดังนั้น ผลการรักษาและราคาจึงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและแหล่งที่มาของเครื่อง

3. เทคโนโลยีเลเซอร์กลุ่มคลื่นอินฟาเรด

พลังงานความร้อนที่ได้จากเลเซอร์จะอยู่ในระดับหนังแท้ ข้อเสียของกลุ่มนี้คือ ความร้อนที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนังอาจไม่สูงนัก จึงต้องทำหลายครั้ง ผลการรักษาอาจได้ในระดับปานกลาง แต่ก็มีข้อดีคือไม่เจ็บและราคาไม่สูงมาก นอกจากนี้ผู้ที่มีฝ้าอยู่แล้วอาจทำให้ฝ้าคล้ำขึ้นได้ ปัจจุบันวิธีนี้อาจไม่ได้รับนิยมมากนักเนื่องจากคลื่น 2 ชนิดแรกเห็นผลได้มากกว่า

4. การฉีดยากลุ่มโบทูลินุมทอกซินและการใช้สารกลุ่มฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิคแอซิด

เหมาะกับผู้ที่มีสภาพปัญหาไม่มาก สารกลุ่มโบทูลินุมทอกซินมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ดังนั้น หากใช้ฉีดบริเวณกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ดึงใบหน้าลง ก็จะทำให้กล้ามเนื้อมัดนั้นคลายตัวออก ไม่สามารถมีแรงดึงหน้าลงได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือกล้ามเนื้อกลุ่มที่ดึงใบหน้าขึ้นก็จะทำงานเด่นขึ้นมาแทน ดังนั้น ใบหน้าจึงยกขึ้น การใช้สารกลุ่มโบทูลินุมทอกซินมีข้อบ่งชี้หลักได้แก่การลดริ้วรอยอันเนื่องมาจากการขยับ และการรักษาด้วยฟิลเลอร์มีข้อบ่งชี้หลักได้แก่การเติมเต็มในส่วนที่บกพร่อง ดังนั้นการใช้เพื่อยกกระชับใบหน้าจึงไม่จัดเป็นข้อบ่งชี้หลักของยาทั้งสองชนิด สำหรับข้อเสียของการใช้เทคโนโลยีกลุ่มนี้ ได้แก่ การสลายตัวของยาที่ฉีด กล่าวคือ สารโบทูลินุมทอกซินสามารถออกฤทธิ์ได้ประมาณ 4 เดือน หรือการใช้สารฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มชนิดไฮยาลูโรนิคแอซิดจะค่อยๆ สลายไปใน 6-12 เดือน แล้วแต่ชนิดของสารเติมเต็ม จึงต้องมีการฉีดเป็นระยะเพื่อให้ได้ผลต่อเนื่อง ในแง่ของความปลอดภัยพบว่า หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยาจะไม่เกิดปัญหาในระยะยาว และการรักษาควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

5. การร้อยไหม

พบว่าการใช้ไหมชนิดที่ออกแบบมาเพื่อยกใบหน้า สามารถทำให้ใบหน้าที่หย่อนคล้อยยกตัวขึ้นได้ โดยไหมจะทำหน้าที่เป็นตัวขึงผิวไว้ ในอดีตมีการใช้ไหมแบบไม่ละลาย แต่พบว่ามีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ปัจจุบันจึงมีการใช้ไหมชนิดละลายได้ โดยไหมชนิดละลายได้จะทำให้เกิดแกนพังผืดใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังยกตัวขึ้น อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างหรือในระดับนานาชาติเมื่อเทียบกับคลื่นอาร์เอฟและอัลตราซาวด์ เนื่องจากข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาวยังมีจำกัด

จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป ในบางรายอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลดี ดังนั้น หากคิดจะทำการรักษาภาวะผิวหนังหย่อนคล้อยแบบไม่ต้องผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงสภาพปัญหาของแต่ละบุคคลรวมทั้งงบประมาณ เพื่อจะได้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม

รศ.นพ.วาสนภ วชิรมน

สาขาวิชาโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล