ชีวิตไม่มีคำว่า "ทางตัน" !! "บุ๋ม ปนัดดา" สุดระทม จำต้องเอ่ยถึงต้นเหตุรักพัง

2018-12-18 15:50:28

ชีวิตไม่มีคำว่า "ทางตัน" !! "บุ๋ม ปนัดดา" สุดระทม จำต้องเอ่ยถึงต้นเหตุรักพัง

Advertisement

เหมือนดั่งสายฟ้าฟาด ผู้คนมากมายตกใจกับข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับดาราสาวลูกหนึ่งสุดสตรองของวงการบันเทิง เพราะเธอนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีในการช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากมากมาย หลายคนจึงอยากทราบถึงสาเหตุที่รักสุดหวานชื่นของเธอ ทำไมจึงกลายเป็นยาขม ...



วันนี้ นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ใส่ใจเพื่อนร่วมโลก "บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี" ได้ประกาศอย่างแจ่มชัดว่า เตียงดิฉันหักยอมรับได้แยกทางรอบ 2 กับสามีวัยหนุ่ม "เอก-เอกริน นิลเศรษฐี" หลังใช้ชีวิตคู่ฉันสามีภรรยากันมานานกว่า 4 ปี






และล่าสุดช่วงเย็นวันนี้ (17 ธ.ค.) บุ๋ม ปนัดดา ได้ออกมาเปิดใจถึงประเด็นดังกล่าวกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก โดยงานนี้เจ้าตัวได้เผยให้ฟังว่า



“ความสัมพันธ์ของเราคุยกันมา และพยายามประคับประคองกันในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงครึ่งปีหลังมีการคุยเรื่องการเลิกกันหลายครั้ง จะต่างคนต่างอยู่ดีไหม หรือต่างคนต่างใช้ชีวิตเป็นของตัวเองดีไหม เพื่อที่จะได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบมากยิ่งขึ้น”



“เอาเข้าจริงๆ แล้ว บุ๋มเจอกับเขามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2557 และความสัมพันธ์ก็มาจบลงตอนปลายปี 2561 นั่นหมายถึงว่าเกือบๆ 5 ปีที่เราดูแลและประคับประคองกันมา”



“และอีกอย่างคือบุ๋มให้เหตุผลกับเขาไปว่า ถ้าเกิด ณ วันนี้คุณไปดูแลยิม ดูแลตัวเอง ดูแลรูปร่างอย่างที่คุณฝัน อย่างที่คุณชอบ อย่างที่คุณถนัด แล้วบุ๋มก็ไปทำงานสังคมอย่างที่บุ๋มชอบเช่นเดียวกัน และมันไม่ได้เกลียดกัน เพราะบุ๋มกลัวว่า ณ วันหนึ่งคนที่บุ๋มเคยรักมากๆ ถ้าวันหนึ่งมันไปกันไม่ได้ มันคุยกันไม่รู้เรื่อง มันจะกลายเป็นทะเลาะ แล้วจะใช้อารมณ์ที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นสิ่งที่บุ๋มกลัวคือบุ๋มจะเสียคนที่บุ๋มรักมากไป พอรักมากๆ แต่ไม่ใช่จะกลายเป็นเกลียด คือมันไม่ใช่แล้วอ่ะ เราโตแล้ว และอยู่ด้วยเหตุผล เรามีลูกแล้ว บุ๋มไม่อยากจะมานั่งฟูมฟาย ร้องไห้ต่อหน้าลูก ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือบุ๋มพยายามทำในแต่ละวันให้ดีที่สุด ดังนั้นวันนี้ในเมื่อมันไม่ดี เราก็มาคุยกันว่าอะไรที่มันไม่ดี แล้วเราจะทำยังไงให้มันดี ถ้าต่างคนต่างอยู่จะดีกว่าไหม ไม่ต้องมานั่งคาดหวังกันว่า เธอต้องเป็นอย่างนั้น ฉันต้องเป็นอย่างนี้ ก็เลยมาสรุปข้อตกลงกันว่า เราต่างคนต่างอยู่กันดีกว่า คุณก็ดูแลตัวคุณไป บุ๋มก็ดูแลตัวของบุ๋มใหม่ เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”



ตกลงเลิกใช้คำว่าสามีภรรยา ผ่านมาทั้งหมดแล้วกี่เดือน ?
“มันใช่การระบุคำแบบนั้น แต่เพียงที่ว่าด้วยความรู้สึก ด้วยการใช้ชีวิต มันเริ่มที่จะถอยออกมาสักพัก และเริ่มมานั่งมองเขา เริ่มสะกิดเขามานั่งคุยกันหน่อยสิ คุณจะนั่งเล่นเกมแบบนี้ใช่ไหม ฉันจะทำงานเพื่อสังคมแบบนี้ และคุณจะยืนงอนฉันแบบนี้ใช่ไหม มันก็เลยกลายเป็นว่าแล้วจะยังไงกันต่อ ชีวิตเราจะยังไงกันต่อ ที่ผ่านมาก็เลยใช่คำว่าประคับประคองดีกว่า มันไม่ใช่เหมือนเด็กๆ ที่จะมานั่งบอกว่า วันนี้เป็นแฟนนะ วันนี้ไม่ใช่แฟนนะ มันคงไม่ใช่แบบนั้น มันคงเป็นเป็นลักษณะแบบว่า วันนี้มีอะไรที่ไม่ดี”



“แต่ข้อเสียของบุ๋มอย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่บุ๋มรักใครมากๆ เวลาที่เขาทำอะไรแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ หรือไม่ถูกต้อง บุ๋มมักจะไม่พูดตรงๆ จริงๆ หากกับคนร้ายหรือคดีความต่างๆ ทุกคนจะเห็นว่าบุ๋มสายลุยตลอด จะพูดตรงๆ และชัดเจน เพราะบุ๋มถือว่าอันนั้นเรายืนในความถูกต้อง สู้ในความถูกต้องและยุติธรรม แต่พอเป็นเรื่องของความรัก เวลาเรารักใครก็ตามหากมีเรื่องเกิดขึ้น เราจะพูดกับเขาอ้อมๆ เราไม่อยากทำร้ายด้วยคำพูด เพราะแค่ทำหน้านิ่งก็ดูดุแล้ว ดังนั้นบุ๋มก็เลยพยายามที่จะพูดว่า คุณแค่นี้พอไหม อย่าเล่นอีกได้ไหม อย่าทำอย่างนี้ได้ไหม มันก็เลยกลายเป็นว่าเราไม่บอกเขาตรงๆ ซึ่งก็กลายเป็นว่าเขาไม่รู้ตัว”



เหตุผลที่พูดมาว่า คนหนึ่งเล่นเกม อีกคนทำงานเพื่อสังคม อาจจะเป็นเหตุผลย่อยๆ แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตัดสินใจเลิกคืออะไร ?
“พูดไม่ถูก มันสะสม มันเป็นอะไรที่ยิบๆ ย่อยๆ มากกว่า เพราะถ้ามันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่มันเป็นเรื่องใหญ่ มันคงทะเลาะกัน และวันนี้ก็คงไม่คุยกัน แต่ ณ วันนี้เรายังคุยกันอยู่ เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ เรายังทำธุรกิจร่วมกันอยู่ มันไม่มานั่งเกลียดกัน ทะเลาะกัน และบอกว่าอย่ามาเจอกันอีกเลยนะ ไม่เอาอีกแล้วนะอะไรแบบนี้ เพียงแต่ที่ผ่านมากลายเป็นว่า เขาก็มีจุดยืนของเขา”

“แล้วหลังๆ บุ๋มเริ่มทำองค์กรทำดีพร้อมกับคบกับเขา บางคืนบุ๋มยอมรับเลยว่าบุ๋มช่วยผู้หญิงออกจากซ่องที่ต่างประเทศซึ่งมันต้องใช้เวลาตอนดึก บางครั้งมันเสร็จตอนตี 4 แต่มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาหวาเหว่ เขารู้สึกว่าเราไม่สนใจเขามากพอ แต่เรากลับรู้สึกว่า ฉันอยู่กับคุณ 6 คืนใน 1 สัปดาห์ แต่แค่คืนนี้คืนเดียวที่ฉันไม่ได้อยู่กับคุณ แต่ฉันได้ช่วยผู้หญิง 1 คนกลับมาประเทศไทย บุ๋มว่ามันคุ้มกว่า อันนี้คือความรู้สึกของบุ๋มนะ เพราะบุ๋มมองที่ระยะยาวไง บุ๋มมองว่าเราไม่ได้คบกันแค่ปีนี้หรือวันนี้ แต่เราคบกันจนวันตาย นี่คือสิ่งที่บุ๋มคิด แต่เขากลับมองว่า ณ วันนั้นทำไมเราไม่ใส่ใจเขา”





ชีวิตคู่ครั้งที่ 2 จบลง มีน้ำตาไหม ?
“มีแน่นอนค่ะ แต่เป็นความโชคดีที่บุ๋มได้ไปแสวงบุญที่อินเดียพอดี เป็นทริปที่ท่าน ว.วชิรเมธี บอกเรามาในฐานะลูกศิษย์ให้ไปช่วยงาน ท่านบอกล่วงหน้าไว้นานแล้วค่ะ วันนั้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ บุ๋มบอกเลยว่าบุ๋มนั่งร้องไห้อยู่หลังตู้แอร์ตรงนั้น ถ้าถามว่ากลัวคนจะเห็นไหม ก็กลัว แต่มันแบกความรู้สึกไม่ไหว และเราไม่อยากไปเจอคนอื่นๆ ด้วยสภาพน้ำตาท้วมหน้า เราก็เลยจะร้องให้มันจบตรงนั้น และเช็ดหน้า จากนั้นค่อยไปทำงานต่อ เพียงแต่ ณ วันนั้นแต่งหน้าไม่ไหวแล้ว ถามว่าอ่อนแอไหม มันก็ต้องมีบ้าง”

คนบอกว่าเราลัคกี้อินเกม แต่ไม่ลัคกี้อินเลิฟ ?
“บุ๋มก็อยากจะลัคกี้ทั้งอินเกมและลัคกี้ทั้งอินเลิฟนะคะ และถึงพยายามที่ว่าถ้าวันนี้ไม่ดีก็เลยรีบเลิกดีกว่า คือจะไม่ประคองจนกระทั่งทะเลาะกันหรือเกลียดกัน ดังนั้นบุ๋มพยายามจะทำให้วันนี้มันดีที่สุด ถ้าวันนี้ไม่ดีที่สุดก็ถอนกันออกมาเพื่อให้วันพรุ่งนี้มันดีกว่านี้ ดังนั้นก็เลยกลายเป็นว่าไม่รู้ว่าความรักที่บุ๋มกำลังพูดถึงคืออะไร แต่ในฐานะที่บุ๋มรัก บุ๋มขอรักตัวเอง ขอรักลูก รักสังคมที่บุ๋มทำ ดังนั้นหมายถึงว่าถ้าอะไรวันนี้ที่มันไม่ดี บุ๋มจะดันมันออกไป นี่คือสิ่งที่บุ๋มเป็น”



ตอนเอกขนของออกจากบ้าน เรากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ใช่ไหม ?
“ใช่พอมันเห็นสภาพบ้านที่มันโล่งแล้วที่เจ็บที่สุด อย่างวันพุธเตียงที่เราอุตส่าห์ไปซื้อมาใหม่ มันกำลังจะมาส่ง มันกลายเป็นว่าเตียงนั้นเราต้องนอนคนเดียว”

โมเมนต์นั้นมียื้อไว้ไหม ?
“ยื้อไว้ไหมเหรอ ไม่ เพราะว่าไม่ใช่วันเดียวที่คิดกัน มันคิดกันมาหลายวัน แล้วก็คนที่บ้านก็รู้กันหมดแล้วเราพยายามจะไม่ทะเลาะต่อหน้าลูกเด็ดขาด อันดามันไม่เห็นภาพคุยของเราเลย อันดามันจะเห็นแค่ว่าวันนี้มีเขาและอีกวันไม่มีเขาแต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามคือความรักที่มีต่ออันดามันยังเหมือนเดิม แม่ยังทำหน้าที่แม่ของแม่เหมือนเดิม”

ครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุยกับเอก ?
“วันนี้เขาก็ยังไลน์มาหาเรื่องหมา อย่างที่ทราบเราซื้อหมามาด้วยกัน ดูแลหมาที่บ้านด้วยกัน ก็เลยเป็นว่ามีเรื่องที่ยังต้องคุยกันอยู่ ปรึกษากันอยู่ เพราะว่าที่ผ่านมาเขาก็มีบทบาทในชีวิตของบุ๋มอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ต้องมานั่งจัดการชีวิตกันใหม่”



ธุรกิจยังทำอยู่ด้วยกันหรือแยกกัน ?
“หลักๆ ยังเป็นเขาดูแลอยู่ ซึ่งบุ๋มเป็นหุ้นส่วนน้อย เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ถ้า ณ วันนี้ไปแล้วเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจ หรืออะไรก็ตามบุ๋มคงยกให้เขาหมด”

เสียดายไหมเวลา 4-5 ปี ?
“ไม่เสียดาย เพราะว่าที่ผ่านมามันก็เป็นสิ่งที่บุ๋มสร้างมากับมือ บุ๋มก็ไม่อยากให้มันมีปัญหาหรือกระทบธุรกิจอะไรแล้วก็บุ๋มอยากให้ลูกน้องทุกคนสบายใจได้ว่าธุรกิจจะสามารถเดินต่อไป บุ๋มยังเดินเข้าออกอยู่ในยิม เข้าไปช่วยบริหารอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ว่าหลักๆ เป็นเขาที่ดูแลทั้งหมดอยู่แล้ว”

อนาคตมีโอกาสจะกลับมาคืนดีกันไหม ?
“อนาคตก็คงเป็นเรื่องของอนาคต เพราะขนาดวันนี้ บุ๋มเองยังไม่คิดว่าตัวเองจะมานั่งสัมภาษณ์เรื่องเลิก บุ๋มก็ไม่คาดฝันมาก่อนเหมือนกัน ชีวิตที่ต้องมานั่งเลิกสามี ดังนั้นอนาคตของวันนี้ บุ๋ม ยังไม่รู้เลยว่าจะเจอแบบนี้เหมือนกัน บุ๋มก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้ชีวิตคู่ล้มเหลว ส่วนเรื่องอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาคุยกันไหม เป็นอะไรต่อกัน เป็นยังไงต่อกัน แต่อย่างน้อยบุ๋มเองยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขาอยู่นะ”



กำลังใจเป็นยังไงบ้าง ?
“กำลังใจนอกเหนือจากแฟนๆ ที่ส่งกันมาเยอะแยะมากมาย แบบในไอจีเข้ามากันมาเป็นพัน เป็นหมื่น ขอบคุณจริงๆ แล้วก็อันนามันคือกำลังใจสำคัญมากๆ สำหรับบุ๋ม ก็คุยกับอันดามัน ถ้ามีคนถามหนูถึงเรื่องครอบครัวหนูจะว่ายังไง คุยกับเขาตรงๆ เพราะเขาก็โตแล้ว เขาก็บอกว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยวอยู่แล้ว แม่ตัดสินใจยังไงเขาก็เชื่อการตัดสินใจของแม่อยู่แล้ว”

พอกับความรักหรือยังพร้อมจะเปิดใจใหม่ไหม ?
“ณ วันนี้ไม่กล้าคิดค่ะ เพราะว่าเจ็บอยู่เหมือนกันค่ะ และรู้สึกว่าพอมีคนมาจีบปุ๊บ มีเลยนะวันแรกเลย พอข่าวออกมา ข้อความมาเยอะเลย มันกลับรู้สึกกลัวมั้ง หรือเข็ดอะไรนิดๆ เพราะเราเป็นคนที่เวลารักใครแล้วเราทุ่ม เวลารักใครแล้วเราเต็มที่ แต่ผลปรากฎว่าเมื่อมันไม่ใช่เราก็เลยจะรู้สึกกลัว อนาคตคงไม่ทราบค่ะ คงขอใช้ระยะเวลาดีมากกว่านี้อยู่กับลูก อยู่กับหมาที่บ้านดีกว่าค่ะ”

คอมเมนต์ในไอจีบอกว่าทำไมไปทำบุญแล้วแต่งหน้า ?
“ที่ไปอินเดียแล้วแต่งหน้า เนื่องจากว่าบุ๋มไม่ได้ไปบวชนะคะ อันนี้ต้องขอชี้แจงก่อน ว่าบุ๋มไปเป็นลูกศิษย์ของทางพระอาจารย์ ว. และไปช่วยทริป ช่วยไปเอ็นเตอร์เทน คือกึ่งไปทำงานมากกว่าค่ะ และอารมณ์เหมือนลูกศิษย์ ที่โดนใช้งานไปดูแลลูกทัวร์ 50 คน ดังนั้นพอวันแรกที่ไป บุ๋มใส่แต่แว่นอย่างที่เห็นนะคะ ร้องไห้หนักมากเลย แต่พอวันที่สองมันเห็นหน้าตัวเองในกระจก บุ๋มก็มานั่งนึกว่าแล้วฉันจะไปทำงานด้วยสภาพหน้าของฉันอย่างนี้เหรอ ก็เลยกลายเป็นว่าต้องแต่งหน้าช่วย อันนี้ขอยอมรับว่าต้องแต่งหน้าช่วย และชุดก็ใส่ชุดอินเดียเป็นสาวอินเดียเพื่อเอ็นเตอร์เทนลูกทัวร์ค่ะ ดังนั้นบุ๋มไม่ได้ไปบวช ถ้าบวชศีล 8 หรือศีล 10 บุ๋มไม่แต่งหน้าอยู่แล้ว อันนี้เราทราบกฎตรงนี้ดี เพราะว่าเราก็ปฎิบัติธรรมบ่อย แต่อันนี้คือไปทำงาน นำทัวร์ไปแสวงบุญดังนั้นก็เลยไปขอแจกความสดใสดีกว่าไปยืนหน้าเศร้าตาบวม ก็คงไม่ได้ผิดอะไร อันนั้นคือทราบว่าตัวเองไปทำอะไร และเต็มที่กับงานค่ะ”



แสดงว่าเรายังจะเดินหน้าเพื่อสังคมต่อไป แม้ว่าคนที่จะเข้ามาเขาจะไม่โอเคที่เราจะไม่มีเวลาให้เขา ?
“มันคงต้องทำต่อค่ะเพราะบุ๋มรู้สึกว่าบุ๋มมีความสุขที่บุ๋มได้ช่วยคน และเวลาเราเห็นคำขอบคุณเราเห็นน้ำตาที่เขาได้มีชีวิตกลับมา มีชีวิตรอดหรือว่ามีครอบครัว มีชีวิตใหม่ เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เรามีความสุข เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาด้วยสไตล์ของเขา เขาไม่ได้ชอบ เห็นมั้ยคะว่าเขาไม่เคยไปลงพื้นที่กับบุ๋ม เพราะเขาไม่ชอบแนวนั้น แต่เราชอบอะไรที่ลุยๆ ล่าสุดก็ไปฝึกกับทหาร นี่คือสไตล์ของบุ๋ม แต่เขาอาจจะไม่ใช่แนวนั้นสักเท่าไหร่ เราก็ไม่ว่าอะไรก็เลยไม่พาเขาไป หรือถ้าเกิดจะให้บุ๋มเอาแต่ไปเที่ยวกับเขาอย่างเดียว บุ๋มก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ เอาเวลาบุ๋มไปทำอย่างอื่นดีกว่า มันก็เลยมองกันคนละมุม เดินกันคนละทางค่ะ”

มีอะไรจะฝากถึงเอกไหม ?
“คงไม่ต้องหรอกค่ะ เพราะว่าคุยกันประจำอยู่แล้วค่ะ อย่างวันนี้ก็เพิ่งคุยกัน ก็บอกเขาล่วงหน้าว่าเดี๋ยวจะมีสื่อมาสัมภาษณ์ล่วงหน้านะ ถ้าบุ๋มพูดอะไรตรงไปตรงมา หรือว่าพูดอะไรที่มันกระเทือนก็ต้องขอโทษไว้ก่อน ขอโทษครอบครัวเขาด้วย”



มีง้อกันไหม หรือมีโอกาสที่จะกลับมาคืนดีไหม ?
“เขาก็มีพูดนะคะ เพียงแต่ว่า ณ วันนี้บุ๋มก็ถามว่าแล้วมันจะกลับมาเหมือนเดิมหรอ ถ้ากลับมาเหมือนเดิมแล้วมันจะทะเลาะกันอีกมั้ย มันจะเกลียดกันมั้ย ถ้ากลับมาเหมือนเดิมมันจะดีมั้ย มันมีคำถามที่บุ๋มเองก็พูดไม่ออก บุ๋มก็หาคำตอบไม่ได้อีกเยอะมาก ดังนั้นก็เลยยังไม่อะไรมากกว่านี้”

ยังรักเอกอยู่ไหม ?
“รู้สึกผูกพันมากกว่าค่ะ 5 ปี มันไม่ใช่เรื่องน้อยๆ เลยนะคะ กับการคบใครสักคนที่อยู่ด้วยกันตลอด ดูแลกันมาตลอดค่ะ”

มีภาพหวานๆ ตอนยังคบกัน มองย้อนกลับไปรู้สึกอย่างไรบ้าง ?
“ก็ต้องขอบคุณสื่อที่ช่วยย้อนภาพให้นะคะ (หัวเราะ) คือเปิดไปดูก็จุกอยู่เหมือนกันค่ะ มันไม่ใช่ไม่อยากมีนะ เมื่อมันไม่มีแล้วก็ต้องทำใจให้ดีที่สุดค่ะ



บุ๋มดูเป็นผู้หญิงสตรองในหลายๆ เรื่อง อยากบอกต่อในมุมมองความรักของบุ๋มอย่างไร ?
“บุ๋มคงไม่กล้าสอนคนอื่นหรอกค่ะ เพราะตัวบุ๋มก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องความรักสักเท่าไหร่ แต่กับลูกบุ๋มพยายามที่จะทำตัวเข้มแข็งให้เขาเห็นมากกว่า คือพูดไปก็เท่านั้นถ้าแม่ทำไม่ได้ ทุกวันนี้ทำให้เขาเห็นว่าแม่ไม่เอาความรักเป็นตัวเดินนำชีวิต แต่แม่เอาหนูเป็นตัวนำชีวิตแม่ แล้วความรักที่แม่มีให้หนูนี่คือเต็มเปี่ยม ไม่ว่าแม่จะเป็นม่าย หรือแต่งงานใหม่ สิ่งที่สนุกกับหนูมีรอยยิ้ม กับหนูก็ยังเหมือนเดิม จะไม่มีความเศร้าให้เขาเห็น จะให้เขาเห็นว่าผู้หญิงควรมีชีวิตและรักตัวเองให้มากที่สุดไม่ว่ายังไงก็ตามเพื่อ ณ วันหนึ่งที่เขามีความรักเขาต้องไม่ฟูมฟายเหมือนกับแม่ของเขา”

พูดความรู้สึกหรือขอบคุณกำลังใจจากแฟนๆ ตั้งแต่วันที่มีข่าว ?
“ก็แปลกใจเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าจะโดนด่าเยอะค่ะ แต่กลับกลายเป็นว่ากำลังใจเยอะกว่า แล้วก็เข้าใจเยอะมาก ทุกคนก็จะบอกว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ว่ามีพบก็ต้องมีจาก แล้วก็เห็นว่าบุ๋มยังมีคุณค่าในการทำงานเพื่อสังคมมากกว่ามานั่งฟูมฟายเรื่องความรัก เข้าใจบุ๋มแล้วก็บอกว่ากำลังใจสำคัญอยู่ที่อันดามันนะ มาเตือนสติบุ๋มเยอะมากเลย แล้วก็มาให้กำลังใจบุ๋มเยอะมากเลย บุ๋มต้องขอบคุณทุกๆ คน ขอบคุณจริงๆ ที่ส่งกำลังใจมาเยอะขนาดนี้ ต้องขอบคุณครอบครัวของบุ๋มด้วย แล้วก็ขอบคุณแม้กระทั่งคุณเอกและครอบครัวคุณเอกด้วย ที่เข้าใจพวกเราในการที่ไม่ต่อว่าอะไรเลย ยังยินดีที่จะให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน บุ๋มต้องขอบคุณตรงนี้มากๆ เลยค่ะ ขอบคุณทุกคนด้วยค่ะ”



เลิกรากันด้วยความไม่เข้าใจ ?
“มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่สะสมกันมามากกว่าเรื่องเขาติดเกมส์ ส่วนเราก็เรื่องเวลา หลังๆ ไปงานต่างจังหวัดไม่ได้พาเขาไป ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก่อนเรายังลากเขาไป ปรากฎว่า พอเราลากเขาไปต่างจังหวัด เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้เล่นเวท แล้วผู้ชายเล่นกล้าม มันต้องอยู่ยิม ต้องกินข้าวตรงเวลา 5 มื้ออย่างน้อย พอพาเขาไปก็บ่นว่าผมกินไม่ครบ ซึ่งฉันก็ไม่ได้กินเหมือนกัน แต่เราก็อยากเห็นเขามีความสุข รักเขา ก็ให้เขาอยู่ยิม เราดูแลตัวเองได้ หลังๆ วิ่งงานต่างจังหวัดของบุ๋มเอง ก็ยิ่งห่างกัน ทำให้เรารู้สึกว่ามีเขาหรือไม่มีเขามันก็ไม่ต่างกัน แล้วเขาดูแลอะไร และบุ๋มก็ทำงานเพื่อสังคมอีก องค์กรทำดี การช่วยเหลือคนมันทิ้งไม่ได้ ให้น้องอยู่ในซ่องไปก่อน พรุ่งนี้ส่งคนไปช่วยมันก็ไม่ได้ใช่ไหม มันต้องช่วยตอนนั้นให้เขาออกมาให้ได้ แต่นั่นเขายืนมองบนบันได้ขณะที่เรากำลังประสานงาน กับต่างประเทศอยู่ ถ้าคืนนี้ฉันใช้เวลาหนึ่งคืนช่วยคนออกจากซ่อง มันคุ้ม แต่เขารู้สึกโดนเอาเวลาไป”