ความยากจน เป็นภัยที่น่าหวาดกลัวที่สุดจริง ๆ ถ้าไม่อับจนหนทางจริง ๆ พวกเขาคงไม่คิดทิ้งบ้านเกิดหวังไปเสาะแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า ด้วยการไปตายเอาดาบหน้า ประชาชนผู้ยากจนในหลายประเทศในอเมริกากลาง หลั่งไหลอพยพเดินทางไหลหลายพันกิโลเมตร เพื่อที่จะเข้าไปหางานทำหาเงินจุนเจือครอบครัวในสหรัฐ แต่ไม่รู้จะโทษรัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้นโยบายเข้มงวดกับผู้อพยพ หรือจะโทษรัฐบาลในประเทศบ้านเกิดของผู้อพยพ ที่ปล่อยให้ประชาชนของตนยากจน อดอยากหิวโหย ..........ในที่สุดโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับชีวิตน้อย ๆ ชีวิตหนึ่ง
เด็กหญิงผู้อพยพชาวกัวเตมาลาวัย 7 ขวบ ซึ่งเสียชีวิตในคุกสหรัฐเดือนนี้ ถูกพรากจากพ่อ และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะหาเงินส่งกลับบ้านเพื่อจุนเจือครอบครัวที่ยากจนของเธอ จากการเปิดเผยของญาติผ่านตัวแทนในรัฐเทกซัส ของสหรัฐเมื่อวันเสาร์ที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา
เนรี คาล วัย 29 ปี และจาเคลิน คาล มาควิน (Jakelin Caal Maquin) บุตรสาว วัย 7 ขวบ อยู่ในกลุ่มผู้อพยพกว่า 160 คน ที่มอบตัวต่อเจ้าหน้าที่รักษาดินแดนของสหรัฐในรัฐนิวเม็กซิโก เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ตัวเด็กน้อยและผู้เป็นพ่อ ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพเมื่อเดินทางมาถึงพรมแดนสหรัฐ และได้รับอาหารและน้ำเพียงพอตลอดการเดินทางอพยพจากประเทศบ้านเกิด กัวเตมาลา
แถลงการณ์ฉบับหนึ่งจากครอบครัวของจาเคลิน ที่เผยแพร่สู่สื่อมวลชนในเมืองเอล ปาโซ รัฐเทกซัส โดยผู้ดูแลศูนย์พักพิงของผู้อพยพ ขัดแย้งกับรายงานข่าวของสื่อที่ว่า เด็กหญิงเดินทางไกลหลายวันโดยที่ไม่มีอาหารหรือน้ำตกถึงท้องเลย และอยู่ในภาวะร่างกายสูญเสียน้ำขณะเดินทางจากกัวเตมาลา ผ่านเม็กซิโก ถึงพรมแดนสหรัฐ
ทั้งพ่อและด.ญ.จาเคลินยอมมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ แต่หลังถูกควบคุมตัวก็เกิดเรื่องเศร้าขึ้น เมื่อมีรายงานว่า จาเคลินมีไข้สูง และเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง ระหว่างการดูแลรักษาของเจ้าหน้าที่กงสุลและเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนพรมแดน
“ฉันรู้สึกไม่ดีเลย และพ่อของเด็กก็เช่นกัน เพราะบุตรสาวตายต่อหน้าต่อตาเขาเมื่อเขาอยู่ในโรงพยาบาล ลูกสาวเสียชีวิตและตัวเขาก็ไม่สมารถทำอะไรได้” คลอเดีย มาควิน แม่ของเด็กหญิง เล่าความรู้สึก ขณะที่เธอยังมีลูกน้อยตาดำ ๆ ที่ต้องเลี้ยงดูอยู่อีก 3 คน ที่บ้านในกัวเตมาลา

ข้าวโพดยืนต้นอยู่หลังบ้านไม้เก่า ๆ ที่มุงด้วยปาล์ม และมีไก่และหมูอีก 2-3 ตัว เดินหากินอยู่ใกล้ ๆ กับที่เธอยืนพูด พร้อมกับอุ้มลูกวัย 6 เดือนไว้ในอ้อมแขน
การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อเอาพื้นที่มาปลูกปาล์มน้ำมัน ทำให้การทำการเกษตรยากลำบากมากขึ้น ไม่สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของประชาชน 40,000 คนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาล รักซ์รูฮา ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านซาน อันโตนิโอ เดอ คอร์เตซ หมู่บ้านเกษตรกรรมของครอบครัวเด็กหญิงจาเคลิน ภาคกลางของกัวเตมาลา ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้องหลั่งไหลอพยพออกจากบ้านไปตายเอาดาบหน้า

“วันที่ 1 ธันวาคม คาลและลูกสาว เดินทางไกลกว่า 3,200 กิโลเมตร ถึงจุดหมายปลายทางพรมแดนสหรัฐ เพราะพ่อของจาเคลิน ต้องการไปหางานทำในสหรัฐ” แม่เธอกล่าวหลังทราบข่าวการเสียชีวิตของลูกสาวจากเจ้าหน้าที่กงสุล
เกือบ 80% ของประชากรพื้นเมืองกัวเตมาลา มีฐานะยากจน โดยครึ่งหนึ่งของพวกเขามีชีวิตอยู่ในระดับที่ยากจนขั้นวิกฤต นายกเทศมนตรีเมืองซาน อันโตนิโอ เดอ คอนเตซ ระบุว่า ครอบครัวของคาล ก็อยู่ในกลุ่มประชากรยากจนข้นแค้นที่สุดในหมู่บ้าน
การเสียชีวิตของจาเคลิน ได้เพิ่มเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อรัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้นโยบายแข็งกร้าวต่อผู้อพยพ ทั้งจากกลุ่มที่เห็นใจและสนับสนุนผู้อพยพ และสมาชิกพรรคเดโมแครตในรัฐสภา แต่รัฐบาลสหรัฐก็ปกป้องการปฏิบัติต่อจาเคลิน และบอกว่า มันไม่ได้มีอะไรที่บ่งชี้ให้เห็นว่า เด็กน้อยมีปัญหาสุขภาพ จนกระทั่งหลายชั่วโมงหลังเธอและพ่อ ถูกนำตัวเข้าคุก
โดมิงโก คาล ปู่ของจาเคลิน กล่าวว่า เด็กน้อยยอมเดินทางไกล เพราะไม่ต้องการทิ้งพ่อให้ไปคนเดียว ขณะที่ โฮเซ มานูเอล คาล ลุงของจาเคลิน กล่าวว่า เขาทราบว่า เธอล้มป่วยก่อนเสียชีวิต แต่ก็ยังหวังว่า อาการของหลานสาวจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ครอบครัวก็ได้แต่หวังว่า พ่อของเด็กหญิงจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในสหรัฐได้
เจ้าหน้าที่สถานกงสุลกัวเตมาลา กล่าวกับรอยเตอร์เมื่อวันศุกร์ว่า คาลบอกกับเขาว่า เขาข้ามพรมแดนแล้ว มีแผนการที่จะมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ และจะพยายามพักอยู่ในสหรัฐให้ได้
จากสถิติที่ผ่านมา พ่อแม่ที่เดินทางไปพร้อมกับลูก จะถูกควบคุมตัวขณะพยายามข้ามพรมแดนสหรัฐที่ติดกับเม็กซิโก โดยในเดือนพฤศจิกายน เจ้าหน้าที่กงสุลและรักษาดินแดน หรือซีบีพี ของสหรัฐ ควบคุมตัวสมาชิกของครอบครัวต่าง ๆ รวมกันถึง 25,172 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในเดือนเดียวตั้งแต่มีการบันทึกสถิติ
แต่พ่อแม่พร้อมลูก ก็จะได้รับการปล่อยตัวจากเจ้าหน้าที่สหรัฐ ส่วนคดีความของพวกเขาก็ดำเนินการต่อไป เพราะข้อจำกัดทางกฎหมาย ในการควบคุมตัวเด็ก
คาลยังคงอยู่ในเมืองเอล ปาโซ รัฐเทกซัส ที่ซึ่งลูกสาวเสียชีวิต หลังถูกนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์มารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อรักษาฉุกเฉิน ก่อนที่เธอจะสิ้นลมหายใจ จากการสแกนสมองพบอาการสมองบวม และจาเคลินมีอาการตับวาย เธอเสียชีวิตในช่วงเช้าวันที่ 8 ธันวาคม ขณะที่ ผู้เป็นพ่อยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ ให้คำมั่นว่าจะทำการสอบสวนการเสียชีวิตของเด็กน้อยผู้น่าสงสารอย่างเต็มที่ ขณะที่ สมาชิกพรรคเดโมแครตในรัฐสภา ต้องการให้มีการตรวจสอบด้วยว่า ทำไมรัฐสภาจึงไม่ได้รับรายงานเหตุการณ์นี้ภายใน 24 ชั่วโมง
ข่าวการเสียชีวิตของจาเคลิน และเสียงวิจารณ์ว่า เจ้าหน้าที่รักษาชายแดนเพิกเฉย หรือมองข้ามวิกฤตด้านสุขภาพ พร้อมทั้งเสียงกระหน่ำซ้ำเติมนโยบายผู้อพยพที่แข็งกร้าวของทรัมป์ จากหลายฝ่าย
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ จะโทษใครได้ รัฐบาลกัวเตมาลา หรือรัฐบาลสหรัฐ
ชีวิตของเด็กหญิงจาเคลิน คงสูญเปล่าอีกตามเคย.....