“บิ๊กตู่”เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข อัดเงินผ่านบัตรคนจน

2018-11-23 21:10:04

“บิ๊กตู่”เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข อัดเงินผ่านบัตรคนจน

Advertisement

นายกฯแจงช่วยเหลือพี่น้องผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ระบุเข้าใจดีถึงความรู้สึกผู้มีรายได้น้อย ปานกลาง เป็นอย่างดี ลั่นจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้จะเป็นความสุขเพียงเล็กๆ น้อยๆ คนที่มีรายได้น้อยเราต้องดูแลความเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 23 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า อีกหนึ่งมาตรการสำคัญ ที่รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ก็คือการช่วยเหลือพี่น้องผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาทิ การบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ด้านต่าง ๆ เช่น การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ก๊าซหุงต้ม ค่าเดินทาง เงินเพิ่มสำหรับผู้ต้องการพัฒนาอาชีพ และผู้สูงอายุ รวมถึงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปใน กระเป๋าเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อย่างไรก็ดี จากการสำรวจ และสอบถาม ถึงปัญหา และความต้องการได้รับความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้ง การวิเคราะห์ฐานข้อมูล ที่มีในปัจจุบัน ทราบว่าการดำเนินการที่ผ่านมา สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด เราก็จำเป็นต้องมีมาตรการที่เจาะจงเฉพาะกลุ่มลงไปเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

นายกฯ กล่าวต่อว่า การอยู่ร่วมกันในสังคม เราจำเป็นต้องเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข โดยเฉพาะความทุกข์ที่เป็นผลมาจากการขาดโอกาสในอดีต หรือเลือกเกิดไม่ได้ ซึ่งเขาเหล่านั้นต้องการโอกาสตั้งตัว หรือการผ่อนปรนภาระบางส่วน ซึ่งรัฐบาล ก็พยายามปรับมาตรการให้ตรงจุด ตรงความเดือดร้อนของแต่ละกลุ่ม โดยล่าสุดก็ได้มีมาตรการเพิ่มเติม อีก 4 มาตรการ คือ

1. มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าซึ่งเป็นความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากการที่ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดกัน 3 เดือน ซึ่งจะมีสิทธิค่าไฟฟ้าฟรีอยู่แล้ว ซึ่งมาตรการนี้ จะช่วยเหลือผู้ที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วย แต่ไม่เกิน 230 บาทต่อเดือน และน้ำประปาไม่เกิน 100 บาทต่อเดือนซึ่ง 1 ครัวเรือน ใช้ได้เพียง 1 สิทธิ เท่านั้น โดยให้ไปชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ตามปกติ พร้อมกับยื่นบัตรสวัสดิการ จากนั้น ภาครัฐจะโอนเงินคืน ไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้ ซึ่งท่านสามารถถอนเงินสดออกมาได้ ในเดือนถัดไป มาตรการชั่วคราวนี้ จะเริ่มตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2561 ถึงเดือน ก.ย. 2562 คิดเป็นระยะเวลา 10 เดือน เท่านั้น

2. การสนับสนุนค่าใช้จ่าย ช่วงปลายปี คนละ 500 บาท ในเดือน ธ.ค. เพียงเดือนเดียว ซึ่งจะมีการโอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของท่าน เช่นกัน เพื่อจะรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น ในช่วงสิ้นปีสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว แต่มักมีรายจ่ายเพิ่มเป็นค่าเดินทางกลับภูมิลำเนา กลับไปหาครอบครัว หรือซื้อของฝาก

3.ค่าเดินทางไปรักษาพยาบาล และ ค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ คนละ 1,000 บาท สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการฯ ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยจะได้รับครั้งเดียว ในเดือนธ.ค. นี้ และ จะสามารถใช้วงเงินนี้ได้ จนถึง เดือน ก.ย.ปีหน้า

4. ค่าเช่าบ้าน คนละ 400 บาทต่อเดือน สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะได้รับเงินในกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่เดือนธ.ค. ปีนี้ ถึงเดือน ก.ย. ปีหน้า

“เป็นการเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์จากทั้ง 4 มาตรการนี้ ผู้มีรายได้น้อยสามารถถอนเป็นเงินไปใช้จ่ายได้ เหมือนบัตร ATM โดยงบประมาณที่ใช้ เป็นเงินจากกองทุนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย ได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น”นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สู่วัย ปัจจุบัน ยังมีผู้สูงอายุต้องเผชิญกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย เนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่ายา และค่าเดินทาง ซึ่งข้าราชการเกษียณ จำนวนไม่น้อย หากได้รับการปรับอัตรา และวิธีการจ่าย บำเหน็จบำนาญใหม่ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ อย่างมีความสุขมากขึ้นโดยอยู่ระหว่างการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การปรับเพิ่มเบี้ยหวัดบำนาญ ซึ่งปัจจุบัน ยังต่ำกว่าเดือนละ 10,000 บาท ให้ได้รับเต็มจำนวน 10,000 บาทต่อเดือน และ 2. การขยายเพดานของวงเงินบำเหน็จดำรงชีพ ให้แก่ผู้รับบำนาญ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมเพดาน ไม่เกิน 400,000 บาท ปรับใหม่เป็น 500,000 บาท อันนี้ก็เป็นวงเงินของท่านอยู่แล้ว

“ผมเข้าใจดีถึงความรู้สึกพี่น้องประชาชน ผู้มีรายได้น้อย และปานกลาง เป็นอย่างดี และรัฐบาลนี้ ก็มีเจตนาที่ชัดเจนว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้จะเป็นความสุขเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม คนที่มีรายได้น้อยเราต้องดูแล อันนี้เป็นเรื่องของความเป็นธรรม”นายกฯ กล่าว