“คุณหญิงสุดารัตน์”นำทีมลุยแพลตตินั่มรับสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย พบเศรษฐกิจตกต่ำ ค้าขายซบเซา ยอดขายตกลงกว่า 80-90% แนะเพิ่มกำลังซื้อในระดับรากหญ้ากระตุ้นระบบเศรษฐกิจโดยรวม “กิตติรัตน์” อัดรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายโภคิน พลกุล นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย พร้อมคณะทำงาน ลงพื้นที่พบปะประชาชน ที่ศูนย์การค้าแพลตตินั่ม ย่านประตูน้ำ โดยมีประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียงมารอสมัครสมาชิกทั้งแบบรายปีและตลอดชีพจำนวนมาก อย่างไรก็ตามในการลงพื้นที่ในครั้้งนี้มีนายภูมิภัทร ลูกชาย และ น.ส.ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ หรือ น้องจินนี่ ร่วมลงพื้นที่ด้วย
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวหลังลงพื้นที่ว่า พบสภาพปัญหาเเบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เศรษฐกิจตกต่ำ การค้าขายซบเซา เผชิญปัญหาทั้งผู้ค้าส่งและค้าปลีก ยอดขายตกลงกว่า 80-90% โดยเห็นว่าเป็นเพราะประชาชนระดับรากหญ้าไม่มีกำลังซื้อ แม้ภาครัฐพยายามทุ่มงบประมาณลงไป แต่เป็นลักษณะการแจกเงินไม่สามารถกระตุ้นให้มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นได้ โดยสิ่งที่ควรทำคือเพิ่มกำลังซื้อในระดับรากหญ้าเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ส่วนที่ 2 คือ ปัญหาจากกฎหมายที่ไม่เอื้ออำนวยและเป็นอุปสรรคต่อการค้าขาย โดยคณะทำงานมีนายกิตติรัตน์ ดูแลเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนด้านกฎหมาย จะมีนายโภคินและนายพงศ์เทพ เป็นแกนหลักในคณะทำงานของพรรค อย่างไรก็ตาม การที่ผู้มีอำนาจยังไม่ปลดล็อกทางการเมือง ทำให้ ประชาชนเสียโอกาสที่จะได้ร่วมสะท้อนปัญหาและกำหนดนโยบายร่วมกับพรรคการเมือง ซึ่งพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญของการปลดล็อกในแง่นี้และไม่ได้กลัวว่าจะหาเสียงไม่ทันแต่อย่างใด ส่วนการย้ายพรรคของอดีต ส.ส.เพื่อไทยนั้น ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมือง
ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กล่าวว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ล้มเหลว สิ่งที่บอกว่าคนจนจะหมดไปถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง แม้ว่าทุกรัฐบาลอยากให้ประชาชนกินดีอยู่ดี แต่สิ่งสำคัญคือ รู้วิธีการและทำแล้วได้ผลหรือไม่ และนอกเหนือจากการเติบโตเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว การกระจายรายได้เป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ใช่เพียงการแจกเงินเท่านั้น โดยจากนี้นักการเมืองที่มาจากระบอบประชาธิปไตย มีหน้าที่ต้องคิดและช่วยเหลือประชาชนให้กินอยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ขณะที่ นายโภคิน พลกุล กล่าวว่า การที่บ้านเมืองไม่มีประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนไม่อาจสะท้อนปัญหาของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และการเป็นรัฐราชการ ทำให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะขาดเล็กและขนาดกลางมีข้อจำกัด การดำเนินการต่างๆยุ่งยากและสลับซับซ้อน โดยยกตัวอย่างการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ หรือ ต่างด้าว ที่มาตรการกฎหมายปัจจุบันเป็นอุปสรรคต่อผู้ค้า หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็มีโทษ โดยเห็นว่า ต้องแก้ไขระบบกฎหมายและการอนุมัติหรือการขออนุญาตที่เกินความจำเป็นเพื่อลดภาระผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
นายโภคิน กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาให้ประชาชน ต้องใช้ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น โดยเชื่อว่า หากมีการเลื่อนการเลือกตั้ง ซึ่งประชาขนรอคอยมากว่า 7 ปี หรือมีการกลั่นแกล้งนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ประชาชนชื่นชอบ จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาที่เผชิญอยู่ ผู้มีอำนาจจึงควรดำเนินการทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม