"โทนี่" ให้สถานะ "แก้ว" ได้แค่เพื่อน แอบนอยด์ "หลิน" ให้สัมภาษณ์ครั้งก่อน

2018-11-06 17:20:09

"โทนี่" ให้สถานะ "แก้ว" ได้แค่เพื่อน แอบนอยด์ "หลิน" ให้สัมภาษณ์ครั้งก่อน

Advertisement

อยู่ๆ ก็มีข่าวว่าหนุ่ม "โทนี่ รากแก่น" สนิทสนมกลมเกลียวกับสาว "แก้ว-จริญญา ศิริมงคลสกุล" หลังจากอยู่ในสถานะโสดทั้งคู่ ล่าสุด เจอโทนี่ในงานแถลงข่าว “GMMTV Series 2019 WONDER THIRTEEN ” เลยสอบถามถึงเรื่องนี้ได้ความว่า

หลายคนจับตามองถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับ แก้ว จริญญา ?
ความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นยังไงนะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันข่าวมาได้ไง คือเรารู้จักกันอยู่แล้วในฐานะเพื่อน มันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น อีกอย่างผมก็ไม่ได้ตามข่าวเลยด้วย





ความสัมพันธ์คือแค่พี่น้องใช่ไหม ?
ใช่ครับ มีความเป็นแก๊ง เป็นเพื่อนกัน ไปเที่ยวด้วยกันได้ ไปไหนมาไหนด้วยกันได้



มีข่าวแบบนี้ เวลาอยู่กลุ่มเดียวกันอึดอัดไหม ?
ถ้ารู้เรื่องก็จะอึดอัดมั้งครับ ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมไม่ได้ตามข่าวเลย ถามว่ามีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ไหม ไม่มีครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร อาจจะเพราะเรามีความเป็นเพื่อน เป็นแก๊งกันอยู่มั้งครับ



เพราะแก้วไม่ใช่สเปกเราใช่ไหม ?


เอาจริงๆ แล้วนะ ผมมองว่าผมก็ชอบความเป็นเขา แต่เราไม่เคยมองกันในเชิงนั้น ไม่มีครับ พอมีข่าวออกมาเวลาจะไปไหนด้วยกันจากนี้ก็คงปกติครับ เพราะมันไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเสียหาย

ตอนนี้เรากำลังศึกษาดูใจกับใครอยู่หรือเปล่า ?
ไม่มีครับ ยังโสด ไม่ได้คุยกับใครเลย ผมอยากเรียนรู้ความรู้สึกตอนนี้ครับ เพราะที่ผ่านมาเราค่อนข้างปล่อยให้ตัวเองมีแฟนตลอด ยังไม่เคยใช้ชีวิตโสดเลย ไม่ใช่ว่าเราอยากจะคุยกับใครก็ได้นะ แต่เราอยากจะแข็งแรงด้วยตัวเองก่อน ไม่ต้องเอาความรู้สึกตรงนี้ไปวางไว้กับใครจนเกินไป





ชีวิตตอนมีแฟนกับตอนโสดต่างกันไหม ?
แรกๆ ก็มีความต่างอยู่แล้ว แต่เราก็พยายามดึงตัวเอง ดูแลตัวเอง มีอะไรหลายๆ อย่างที่ได้ทำเพิ่มขึ้น หลังจากที่เมื่อก่อนพึ่งพาคนอื่น ตอนนี้ก็ทำด้วยตัวเอง เราไม่อยากมองอะไรไปในทางด้านลบเลย อยากปล่อยให้เป็นธรรมชาติไปแบบนี้

ยังติดต่อพูดคุยกับหลินอยู่ไหม ?
ไม่ได้คุยเลยครับ





ล่าสุดหลินมีข่าวกับซันนี่เราได้เห็นข่าวไหม ?
เห็นผ่านๆ ครับ ก็รู้สึกว่าในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วต่างคนต่างใช้ชีวิตที่ดีขึ้น เขาก็มีงานที่ดี ดูมีความสุข เราเองก็มีหน้าที่การงานที่โฟกัสได้ สุดท้ายผมมองว่าก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดีของทุกฝ่าย มันอาจจะ ... ผมมองว่าเรื่องนี้ทุกคนเคยมีประสบการณ์ คล้ายๆ กันแบบเราได้อยู่กับคนๆ หนึ่งแล้วเราก็ได้ศึกษาแล้ว กลายเป็นว่าเรามองว่าความถูกต้องในตอนนั้นคือเราต้องรับผิดชอบกัน แต่พอเอาจริงๆ แล้วพอเราอยู่มาอย่างนั้นมา 1 ปี ด้วยความรู้สึกว่ามันคือความถูกต้อง เราก็คิดว่าเราต้องดูแลต่อไป เพราะเรามาใช้ชีวิตด้วยกัน มารู้จักกันมาสนิทกัน แต่พอใช้ชีวิตมาปีหนึ่งเรารู้สึกว่าความรู้ถูกต้องก็คือเราต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองหรือเปล่า มันเลยทำให้เรากล้าที่จะคุยกันเรื่องนี้ เรารู้สึกว่าในวันนั้นที่เราคุยกัน มันเป็นเรื่องของเราสองคน ซึ่งเขาเองก็คิดแบบเดียวกัน ก็เลยรู้สึกว่าก็แปลกเหมือนกันที่อยู่ดีๆ มีเรื่องมือที่ 3 เยอะแยะมาก เราก็งงว่าทำไมเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่เป็นไร ก็คงเป็นธรรมชาติของมัน ที่เวลาเราอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ 



คือเป็นเรื่องของความรู้สึกไม่ใช่เรื่องของมือที่ 3 ?
ไม่มีเลยครับ

หลังจากนั้นได้คุยกันบ้างไหม ?
เอาตรงๆ นะหลังจากที่เราฟังสัมภาษณ์เขาล่าสุดเราก็รู้สึกเสียใจนิดนึงนะที่ว่ามีคำพูดหลายๆอย่าง ที่ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้คุยกันหรือ เพราะตอนที่เราคุยกันเราก็คุยกันแค่ 2 คน เขาเป็นคนที่เข้าใจดีที่สุดด้วยซ้ำว่า ในวันนั้นเรื่องมันเกิดขึ้นมาแบบเป็นปีแล้ว ที่ทำให้เราต้องแยกกัน เขารู้ดีที่สุดว่ามันคืออะไร แล้วการที่เราใช้ชีวิตแบบนั้นมานานนะ เราก็อยู่ด้วยความเข้าใจกัน โอเคนี่คือความถูกต้อง ต้องอยู่ด้วยกันต่อไป แต่ ณ วันที่แบบเขาอาจจะงงแบบที่เขาว่าจริงๆ เพราะว่าเราก็ได้เรียนรู้จริงๆ ว่าในเมื่อความรู้สึกมันเป็นแบบนี้ พอเราลองมองว่าความเป็นจริง ถ้าเราลองซื่อสัตย์กับความรู้สึกนี้ แล้วกล้าที่จะพูดการคุยกัน ผมเชื่อว่ามีหลายคู่เคยตกอยู่ในสถาการณ์แบบนี้ ผมไม่ได้ว่าใครดีกว่าใครนะ แค่มันถึงจุดเรื่องความเข้าใจมันคนละแบบ แต่แค่กล้าเดินออกมา หรือไม่กล้าเท่านั้นเอง ในวันนั้นเราอาจเป็นคนตัดสินใจพูดก่อน แต่สุดท้ายมันเป็นเรื่องของเราที่คุยกัน แล้วเราก็เข้าใจกันในที่สุด ผมมองว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องมีเรื่องดราม่า แล้วหลังจากนี้ถ้าใครจะมีใครก็ไม่ใช่เรื่องของมือที่ 3 แล้ว เพราะต่างคนต่างเข้าใจสิ่งนี้ ผมคิดว่าคู่เราน่าจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้ว่าในวันหนึ่งเรากล้าที่จะพูด คุยกันตรงๆ ก็แล้วกัน ว่าความรู้สึกเป็นแบบนี้ ให้เราทำอย่างไรดี



มันคือปัญหาสะสมหรือเปล่า ?
ผมขอไม่พูดถึงรายละเอียด เขาบอกเองว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเราสองคนคุยกัน

เพราะเขาเข้าใจเราผิดหรือเปล่า ?
ไม่รู้เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าทำไมออกมาเป็นรูปแบบนั้นเพราะว่าในวันที่เราคุยกันก็คือเข้าใจ