คุณยายมือนวดเศร้า! ไม่กินข้าว-ไม่พูดคุย หลังหนุ่มโฟร์แมนสิ้นใจ

2018-11-04 16:20:49

คุณยายมือนวดเศร้า! ไม่กินข้าว-ไม่พูดคุย หลังหนุ่มโฟร์แมนสิ้นใจ

Advertisement

กรณีโฟร์แมนมานวดที่พัทยาแล้วเสียชีวิต ล่าสุดภรรยาพร้อมเพื่อนสาวที่โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดแถลงข่าวชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้านหลานสาวคุณยายมือนวดวัย 72 ปีเปิดใจ มันเป็นเหตุสุดวิสัย หลังเกิดเหตุคุณยายเองก็เสียใจจนไม่ยอมกินข้าวและพูดจากับใคร

จากกรณีเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "พรรธน์นภา อุดหนุน" โพสต์คลิปวีดีโอเหตุการณ์ชายคนหนึ่ง ไปนวดแผนไทยที่ร้านนวดแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี จากนั้นมีอาการแน่นหน้าอก หายใจติดขัด พนักงานนวดในร้านจึงช่วยพาออกมาหน้าร้าน และพยายามช่วยชีวิต ก่อนนำส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากนั้นผู้ใช้เฟซบุ๊กคนดังกล่าว ยังได้ไลฟ์สดทางเฟซบุ๊ก เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าผู้ตายเป็นโฟร์แมน มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ชอบเตะฟุตบอล และเป็นคนชอบนวดแผนไทย ก่อนเสียชีวิตได้พาครอบครัวไปเที่ยวพัทยา และได้เข้าร้านนวดแผนไทย ซึ่งนวดได้ประมาณ 30 นาที ผู้ตายก็มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก และหมดสติไป ซึ่งผู้ตายหยุดหายใจไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว ก่อนที่จะมีคนมาช่วยปั๊มหัวใจ เมื่อรถพยาบาลมาถึง ได้ช่วยปั๊มให้ชีพจรกลับมาได้ แต่เนื่องจากผู้ตายหยุดหายใจไปกว่าครึ่งชั่วโมง ทำให้ระบบร่างกายล้มเหลวและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งแพทย์ระบุว่า สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากลิ่มเลือดในหลอดเลือดอุดตันขั้วปอดทั้ง 2 ข้าง ทำให้หายใจไม่ออก ทั้งนี้ลิ่มเลือดดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณจุดฟกช้ำที่ขาของผู้ตาย ซึ่งบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วจากการเตะฟุตบอล และเมื่อร่างกายถูกนวด ก็เป็นการกระตุ้นทำให้ลิ่มเลือดจุดดังกล่าว ไหลไปตามเส้นเลือด และไปอุดตันที่ขั้วปอด ส่งผลให้หายใจไม่ออกและเสียชีวิต




ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนดังกล่าวยังระบุอีกว่า "สาเหตุที่ออกมาไลฟ์สด เพื่ออยากให้เป็นอุทาหรณ์ให้กับคนที่ชอบนวดและหมอนวด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สลดอย่างนี้กับใครอีก"

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ น.ส.พรรธน์นภา อุดหนุน อายุ 37 ปี ผู้โพสต์เฟซบุ๊ก และเป็นเพื่อนผู้ที่ไปนวดแล้วเสียชีวิต ทราบชื่อภายหลังคือนายสมบัติ กวนศักดิ์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47/3 หมู่ 1 ต.โนนตาล อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ได้พา น.ส.จันทร์ดา ศักดิ์เหิม อายุ 32 ปี ชาวสกลนคร ภรรยาของนายสมบัติ เดินทางมาที่ร้านอาหารครัวชายเขา ซอยเกษตรสิน 5 บนเขาพระตำหนักเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพื่อเปิดแถลงข่าวชี้แจงเรื่องนี้ต่อสื่อมวลชน พร้อมกับนำใบมรณะบัตรมาแสดง ซึ่งระบุสาเหตุของการเสียชีวิตว่า "ลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดที่ปอด"



โดย น.ส.จันทร์ดา เปิดเผยว่า ปกติสามีมีอาชีพเป็นโฟร์แมนอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันหยุด ตนกับสามีพร้อมครอบครัว ได้เดินทางมาท่องเที่ยวที่ตลาดน้ำ 4 ภาคพัทยา และเข้าไปในหมู่บ้านวิถีไทย พบหญิงชราคนหนึ่งเป็นหมอนวดอยู่ในหมู่บ้าน พอเห็นสามีเดินกะเพลกมาจึงถามว่าเป็นอะไรมา สามีจึงบอกว่าเตะบอลมาเลยทำให้กล้ามเนื้อเข่าอักเสบ คุณยายคนดังกล่าวจึงบอกว่า สามารถนวดให้ได้ เพราะเคยนวดคนอื่นแล้วหายมาหลายคนแล้ว ปกติสามีชอบนวดอยู่แล้วจึงตกลงให้คุณยายนวดประคบให้ แต่พอผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง สามีบอกว่าเจ็บหน้าอกหายใจไม่ออกและบอกให้เรียกรถพยาบาล พร้อมกับบอกให้คุณยายเลิกนวดเพราะเจ็บลิ้นปี่ ด้วยความตกใจตนจึงเรียกคนให้ช่วย และมีพลเมืองดีมาช่วยกันปั๊มหัวใจหลายคน ก่อนนำตัวส่ง รพ.กรุงเทพพัทยา และส่งรักษาต่อที่ รพ.ชลบุรี กระทั่งวันที่ 18 ต.ค.จึงสามีเสียชีวิต

น.ส.จันทร์ดา กล่าวอีกว่า ภายหลังสามีเสียชีวิตและทาง น.ส.พรรธน์นภา ได้โพสต์เรื่องราวดังกล่าวลงเฟซบุ๊กจนกลายเป็นข่าว จึงได้รับการติดต่อจากทนายความของทางตลาดน้ำ 4 ภาคว่าจะช่วยค่าทำศพเป็นเงินจำนวน 40,000 บาท และเสนอที่ทำมาหากินที่ตลาดน้ำ 4 ภาค แต่ตนคิดว่าชีวิตคนทั้งคน มันน่าจะมีการช่วยเหลืออะไรมากกว่านี้ อีกทั้งหลังจากสามีซึ่งเป็นเสาหลักได้เสียชีวิตไป ทำให้ตนต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกสาว 2 คน (คนโต 11 ขวบ คนเล็ก 3 ขวบ) ส่วนค่ารักษาพยาบาลในตอนแรกมียอดประมาณ 400,000 บาท แต่ภายหลังได้รับการช่วยเหลือให้เป็นกรณีผู้ป่วยฉุกเฉิน และใช้สิทธิ์ประกันสังคมจึงทำให้ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

"หลังเกิดเหตุตนไม่ได้เข้าแจ้งความเอาผิดอะไรกับหมอนวดและเจ้าของสถานที่ แต่อยากให้ผู้เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแสดงความรับผิดชอบให้เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ จากนี้ไปตนยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต เพราะปกติตนเองก็เป็นเพียงแม่บ้านไม่ได้ทำงานอะไร" น.ส.จันทร์ดา กล่าวทั้งน้ำตา



ด้าน น.ส.พรรธน์นภา อุดหนุน เพื่อนผู้ตายและเป็นคนโพสต์เฟสบุ๊ก กล่าวว่า สาเหตุที่ตนออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการโจมตีผู้ใดให้เสียหาย และไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไร แต่อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ และอยากให้เป็นกรณีศึกษา เพราะจากการพูดคุยกับแพทย์ระบุว่า สาเหตุของการเสียชีวิตเนื่องจากลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดที่ปอด หากมีการกดทับบริเวณที่เจ็บ จะทำให้ลิ่มเลือดกระจายตัวไปทิ่มปอดทำให้เสียชีวิตได้

ต่อมา น.ส.จันทร์ดา ภรรยาผู้ตาย ได้พาผู้สื่อข่าว เดินทางไปที่หมู่บ้านวิถีไทย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ตายเข้าไปนวด ตั้งอยู่ติดกับตลาดน้ำ 4 ภาคพัทยา พบว่าด้านในมีการจำลองหมู่บ้านตามแบบวิถีไทย โดยสถานที่ที่ผู้ตายเข้าไปนวดเปิดเป็นร้านจำหน่ายของที่ระลึกและสมุนไพร ไม่ได้เปิดเป็นร้านนวดแผนโบราณแต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ น.ส.จันทร์สุดา เข้าไปด้านใน เจ้าตัวถึงกับปล่อยโฮร้องไห้ออกมา จน น.ส.พรรธน์นภา เพื่อนผู้ตายที่มาด้วย ต้องเข้ามาปลอบใจและพาออกไปด้านนอก

ซึ่งในเวลาต่อมา น.ส.พัชญ์สินี วีรนันท์ อายุ 27 ปี พนักงานของตลาดน้ำ 4 ภาค และเป็นหลานสาวของนางสะขาว วีรนันท์ อายุ 72 ปี คุณยายที่ลงมือนวดประคบให้กับผู้ตาย ได้เดินทางมาพบผู้สื่อข่าว พร้อมกับกล่าวว่า ปกติสถานที่แห่งนี้เป็นของเอกชนรายหนึ่งที่มาเช่าสถานที่ของตลาดน้ำ 4 ภาคดำเนินธุรกิจ ไม่ได้เป็นของตลาดน้ำ 4 ภาคแต่อย่างใด เนื่องจากคุณยายอยู่บ้านคนเดียว ตนเกรงว่าคุณยายจะเหงา เลยพามาฝากให้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่หมู่บ้านวิถีไทย แบบไม่มีเงินเดือน คอยทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้าและแนะนำผลิตภัณฑ์สินค้าภายในร้าน และสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งจริงๆ แล้วคุณยายของตนไม่ได้มีอาชีพเป็นหมอนวดแต่อย่างใด

น.ส.พัชญ์สินี กล่าวอีกว่า เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นคุณยายเล่าให้ฟังว่า ในวันเกิดเหตุได้ใช้ลูกประคบสมุนไพรประคบที่ขาของผู้ตาย และใช้น้ำมันทาเท่านั้น ไม่ได้ลงมือบีบนวดร่างกาย หลังเกิดเหตุในช่วง 1-2 วันแรก คุณยายรู้สึกเสียใจจนความดันขึ้น และไม่ยอมทานอาหาร ตนเองก็ได้แต่ปลอบใจ และบอกให้คุณยายมาทำงานตามปกติเพราะเกรงจะคิดมาก กระทั่งมีการนำ คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวไปลงในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค และมีพนักงาน ในร้านเดียวกัน นำมาพูดในเชิงลักษณะไม่ดี ทำให้คุณยายเกิดความเสียใจเป็นอย่างมาก จนปัจจุบันไม่ยอมพูดกับใคร และไม่อยากรับประทานอาหาร เอาแต่เก็บตัวเงียบ



ตนเองในฐานะหลานสาว และตัวคุณยายเองก็รู้สึกเห็นใจผู้สูญเสีย แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิด เหตุการณ์นี้ขึ้น หากจะไปโทษสถานที่ก็คงไม่ถูกนัก เพราะตนเป็นคนนำคุณยายมาฝากให้ทำงาน โดยส่วนตัวก็รู้สึกผิด และคุณยายเองก็รู้สึกเสียใจ จนไม่ยอมทานอาหารและพูดจากับใคร หากคุณยายเป็นอะไรไป ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน" น.ส.พัชญ์สินี กล่าว