ทหารสหรัฐบางส่วนพร้อมด้วยอุปกรณ์และเครื่องจักรกล เดินทางถึงเมืองใหญ่ซานอันโตนิโอแล้ว และกำลังตั้งฐานปฏิบัติการที่เมืองแลคแลนด์ ในรัฐเทกซัส หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวเมื่อวันพุธ (1 พ.ย.) ว่า จะส่งทหารมากถึง 15,000 นาย ไปชายแดนภาคใต้ด้านติดกับเม็กซิโก เพื่อสกัดกั้นคาราวานผู้อพยพ ที่หนีความรุนแรงและความยากจนในภูมิภาคอเมริกากลาง และกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังสหรัฐ อีกทั้งเขายังแนะนำว่า ทหารสหรัฐที่เขาส่งไปยังชายแดนที่ติดกับเม็กซิโกนั้น อาจยิงผู้อพยพคนใดก็ตาม ที่ขว้างก้อนหินเข้าใส่ทหาร
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐพยายามหาวิธีจัดการกับภัยคุกคามต่อสหรัฐ จากกลุ่มผู้อพยพจากอเมริกากลาง ที่กำลังมุ่งหน้าอย่างช้าๆ ผ่านเม็กซิโกไปยังเขตแดนสหรัฐ
การประกาศจำนวนทหาร 15,000 นาย ที่จะส่งไปรับมือผู้อพยพที่ชายแดน มากกว่าจำนวนที่เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐเปิดเผยก่อนหน้านี้ถึง 2 เท่า บรรดาสมาชิกสภาคองเกรสของพรรครีพับลิกัน และอีกหลายฝ่ายที่สนับสนุนทรัมป์ แสดงความชื่นชมต่อการส่งทหารชุดใหญ่ไปชายแดน แต่ฝ่ายคัดค้านกล่าวโจมตีว่า ทรัมป์จัดฉากสร้างวิกฤติ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันออกมาหย่อนบัตรลงคะแนน ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสกลางเทอม ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พ.ย. นี้
ขณะเดียวกัน ทรัมป์อ้างเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาจะลงนามในคำสั่งบริหาร “สัปดาห์หน้า” เพื่อคุมเข้มกฎระเบียบเกี่ยวกับการขอลี้ภัยในสหรัฐ ยกเลิกสิทธิให้สถานะพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ สำหรับเด็กที่เกิดในสหรัฐ จากพ่อแม่ที่ไม่ใช่ชาวสหรัฐและกลุ่มผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายฉบับนี้ ป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้คนเดินทางเข้าสหรัฐอย่างผิดกฎหมายเพื่อที่จะคลอดลูกในแผ่นดินสหรัฐ แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งรวมทั้งจากสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนว่า ประธานาธิบดีไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้โดยคำสั่ง การกระทำเช่นนี้ จะก่อให้เกิดการท้าทายทางกฎหมาย


