นาทีชีวิต !! "โย-เอ" แม้กระดูกหักเดินไม่ได้แต่ส่งใจให้น้องสาวสู้ต่อ (มีคลิป)

2018-08-29 10:55:14

นาทีชีวิต !! "โย-เอ" แม้กระดูกหักเดินไม่ได้แต่ส่งใจให้น้องสาวสู้ต่อ (มีคลิป)

Advertisement


"แค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นความตายอาจพรากคนที่เรารักไปตลอดกาล หากวันนี้ยังมีกันอยู่โปรดจงรักษาช่วงเวลานี้ให้ดี อย่าละสายตาจากกัน เท่านั้นพอ" ...

หลังจากที่ เอ อัญชลี พี่สาวของ โย ยศวดี เกิดอุบัติเหตุจักรยานล้มขณะร่วมโครงการ  "รวมหัวใจไปให้สุดที่แดนใต้" ซึ่งในตอนนั้นสาวเอกระดูกเชิงกรานหักต้องถูกส่งมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ทันที ทำให้สาวโยต้องอยู่ร่วมปั่นทำภารกิจต่อจากพี่สาวจนถึงเส้นชัยที่ จังหวัดยะลา





ล่าสุด สาวเอและสาวโยได้มาเปิดใจถึงเรื่องราวหลังเกิดเรื่องร้ายระหว่างทางการกุศล โดยพี่น้องทั้งสองสาวอัพเดตอาการไว้ว่า ...



เอ : หักหลายจุดค่ะ ก็ยังเดินไม่ได้นะคะ ยังต้องใช้ Walker อยู่ เพราะว่ากระดูกเชิงกรานมีหัก ร้าว แล้วก็แตกด้วย ทั้งหมด 3 จุด ซึ่งไม่ต้องผ่าตัดเพราะว่าช่วงข้างหลังมันจะมีเส้นประสาท คุณหมอบอกว่ามันค่อนข้างเสี่ยง แล้วอีกอย่างนึงคือแค่ด้านเดียว แต่ถ้าสองด้านก็คงต้องผ่า



เอ : เรื่องชีวิตประจำวันก็จะมีพยาบาลคอยช่วยเหลือ ช่วงสิบวันนั้นก็จะอยู่แต่บนเตียง ทำทุกอย่างบนเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ซึ่งจริงๆ วันที่เกิดเรื่องเราก็ขี่กันปกติ ใน 3 วันแรก เอก็รู้สึกว่ามีพลังมาก เพราะว่าตั้งแต่เรารู้ว่าจะมาทำโครงการนี้เราก็มีการฝึกซ้อมตัวเอง แล้วก็สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรงเต็มที่ แล้วในช่วงวันที่ 3 ก็ปั่นเหมือนเดิมเป็นการปั่นขึ้นเนินแล้วก็ช่วงจังหวะลงเนิน แล้วอยู่ดีๆ ก็มีสิ่งกีดขวางเกิดขึ้นมาข้างหน้า คือทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก รู้ตัวอีกทีเหมือนกับว่าเรากำลังเหิน หลุดจากจักรยานแล้วก็ล้มลงไปกระแทก ก็รู้สึกชาที่ด้านซ้าย แต่ไม่คิดว่าหัก เราก็ร้องโอ๊ย!





โย : คือมีน้องคนนึงมาชนล้อโย แล้วทำให้เขาเสียการทรงตัว โดยทั่วไปคือถ้าคนที่มาชนท้ายเรา คนที่ชนจะเป็นฝ่ายล้มเอง ถ้าเรามีสติจับแฮนด์มั่นๆ ยังไงเราก็ไม่ล้ม แต่พอมีคนล้ม เรารู้เลยว่ามันจะเป็นโดมิโน่แล้ว เพราะการขี่จักรยานเราจะปั่นติดๆ กัน

เอ : คือตอนแรกมันยังไม่เจ็บมากเพราะว่ามันชา แล้วเอก็รู้สึกว่ายังไงมันก็ไม่หัก แต่พอเขาให้ลุกขึ้น เอก็ลุกขึ้นแล้วด้านในมันมีเสียงดังแก๊ก แล้วก็หล่นลงไป ก็รู้เลยว่ามันไม่ปกติแล้ว ก็เลยร้องไห้เพราะว่าตอนนั้นมันเจ็บมาก แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะหัก





โย : คือเวลามันมีการเกิดอุบัติเหตุกับพี่น้องเราหรือว่าญาติเรา เราก็ขวัญเสีย ใจเสียอยู่แล้ว พอไม่มีเขาแล้วมันเหมือนกับว่าสับสน ร้องไห้ไม่หยุด คิดว่าจะเอายังไงต่อเพราะเหลืออีกตั้ง 10 วัน จะไปยังไง แล้วใครจะดูแลอะไรแบบนี้ เราก็แบบว่าเดี๋ยวไม่ปั่นแล้วนะ จะนั่งรถ ambulance กลับไปกับพี่สาวเลย

เอ : แต่เอไม่ยอม เพราะอยากจะให้เขาปั่นให้สำเร็จ ก็ขอร้องเขา เขาก็รู้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เอตั้งใจ แล้วสุดท้ายก็ปั่นต่อจนสำเร็จ



โย : ในวันที่เหนื่อยสุดๆ คือวันที่ปั่นไป 170 กว่ากิโลฯ ค่ะ ซึ่งระยะทางมันก็มีทุกรูปแบบ มันคดเคี้ยวมาก ต้องบอกว่าโหดจริงๆสำหรับครั้งนี้



เอ : คือเราจะดูไลฟ์สดตลอดเวลา ร้องไห้เลยนะ ดีใจมาก ที่ทุกคนถึงเส้นชัยปลอดภัย เพราะรู้ว่าทางที่มันจะขึ้นเขาเบตงวันสุดท้ายมันโหดมาก พอโยทำสำเร็จเราก็ดีใจร้องไห้แบบทำสำเร็จแล้วนะ แต่ก็แอบเสียใจคิดว่า ทำไมเราไม่ไปอยู่ตรงนั้น เราอยากจะไปยืนอยู่ตรงนั้นมากๆ เพราะว่าอยากไปอยู่ข้างๆ support ซึ่งกันและกัน



โย : วันที่เส้นทางสิ้นสุดลงต้องบอกว่า มันตื้นตันตั้งแต่ลงเขาตอนสุดท้าย แล้วก็ไปถึงคำว่าโอเคเบตง นั่นคือเรารู้ว่า มันจบแล้ว สิ่งที่ยากลำบากที่สุดกำลังจะจบแล้ว พอเข้าเส้นชัยจริงๆ ปรากฏว่าฝนตก อันนี้คือมหัศจรรย์มาก เราปั่นมาทั้งวันเราไม่เจอฝน แล้วอยู่ดีๆ 100 เมตรก่อนเข้าเส้นชัยฝนตกหนักมาก เราก็เลยได้ภาพสวยๆ ของนักปั่นที่ปั่นฝ่าสายฝนเข้าไปที่เส้นชัย มันก็หายเหนื่อยนะ



โย : ขอเล่าถึงความรู้สึกที่ได้เห็น 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้ฟังนะคะ อย่างแรกเลยนะ ที่โยสัมผัสได้ไม่ได้สัมผัสความน่ากลัวเลย มันเหมือนเป็นความเหงา คือตั้งแต่ยะลาผ่านไปจนถึงปัตตานี โยเจอเด็กๆที่เขามาเฝ้ารอเราว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ บางโรงเรียนรอเป็น 2 ชั่วโมงเลย พอเราผ่านมา บางทีเขาอาจจะไม่ได้รู้จักนะว่าโยเป็นใคร เขาก็วิ่งมากอดขอหอมหน่อย ขอจูบหน่อย เราก็น้ำตาไหลในแว่นเลย คือเด็กพวกนี้เขาต้องการความรัก ต้องการให้คนมาใส่ใจเขา แล้วเราก็แบบว่าอยากให้คนได้มาสัมผัสตรงนี้ แล้วเขาจะสัมผัสได้ยังไง ถ้าเขาไม่มาด้วยตัวเอง ถ้ามัวแต่ฟังข่าว เสพข่าวมันก็ไม่มีทางเกิดขึ้น คุณลองมาสักครั้งแล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่ได้เป็นอันตรายอะไรอย่างที่ทุกคนคิดค่ะ



โย : โยกันเอเราห่างกัน 3 ปี ค่ะ จริงๆ เรามาสนิทกันมากตอนโตนะ ตอนเรียนเราก็ไม่ได้สนิทกันมากขนาดนี้เพราะเขาก็มีเพื่อนของเขา มาสนิทจริงๆ คือช่วงมหาวิทยาลัย เพราะเรียนด้วยกัน จริงๆ โยเป็นคนเรียบร้อยมากนะ แล้วก็เป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่เถียงนะ แต่เด็กๆ ก็ยอมรับว่าซ่าอยู่บ้าง ตามประสาวัยรุ่น

เอ : เอาง่ายๆ เลยคือว่าเราไม่เคยเข้าไปทำร้ายใครก่อน มีแต่คนเข้ามาหาเรื่องนะ หมั่นไส้อะไรอย่างนี้



เอ : ถามเรื่องรัก ณ ตอนนี้ประกาศหาคู่ค่ะ (หัวเราะ) ตอนแรกคิดว่าจะไปบริษัทจัดหาคู่ค่ะ แต่พอดีเขาส่งแพ็กเกจมาแพงมาก ก็เลยไม่เอาดีกว่า ตอนนี้ก็โสดค่ะ คนคุยก็มีบ้าง

โย : ของโย 7 ปีค่ะ ต้องบอกตรงๆ ว่ามาช่วง 2-3 เดือนหลังนี้ไม่ค่อยดีค่ะ แต่เราก็พยายามที่จะประคับประคองไป ตัวโยเป็นคนที่แบบไม่ค่อยจะง้องอนใคร แล้วไม่ค่อยมีมุมหวาน แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีเวลาด้วย แต่พอพยายามคุยๆ กันอยู่ค่ะ



โย : ส่วนเรื่องแต่งงาน เราเคยจะแต่งงานตอนช่วงเกือบๆ 6 ปี อยู่ดีๆ ตอนนั้นคำว่าแต่งงานก็เข้ามาอยู่ในชีวิตคู่ของเรา เพราะเราไปเจอเพื่อนๆ ของเรา เขาแต่งงานแล้วทุกคน มีลูกกันหมดแล้ว ไม่มีคนไหนเลยที่ไม่มีลูก เราก็มานั่งคิดว่าเราจะอยู่กันไป 2 คนตายายแก่ๆ เหรอ ตอนนั้นก็เลยคิดว่าจะแต่งงานกันไหม แต่ช่วงหลังโยมาบ้ากับการที่จะไปไอรอนแมนมากๆ เราก็เลยขอชะงักตรงนั้น แล้วก็ทุ่มเทให้กับการซ้อมเพื่อไปแข่ง พอตอนนี้กลับมาแล้วอยู่ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่อยากแต่งงานอยู่ดี เราอาจจะเป็นผู้หญิงที่แบบว่ายังอยากใช้คำว่านางสาวไปเรื่อยๆ แต่เราก็อยากมีแฟนนะ คือถ้าแต่งงานไปแล้วเราจะไม่สามารถใช้ชีวิตแบบสาวโสดได้นะ เราต้องดูแลซึ่งกันและกันนะ แล้วเราก็ยังอยากที่จะทำอะไรอีกเยอะมาก



คลิปสัมภาษณ์ โย-เอ เผยนาทีจักรยานล้มกระดูกเชิงกรานหัก!!