คณะสอบสวนอิสระของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ที่สอบสวนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรงต่อชาวมุสลิมโรฮีนจาในเมียนมา เรียกร้องให้สอบสวนและดำเนินคดีกับบรรดาผู้นำกองทัพของเมียนมา ยังได้เรียกร้องให้ผู้บัญชาการกองทัพเมียนมา ลาออก และให้นำตัวเขาและผู้บัญชาการกองทัพคนอื่นอีก 5 คน มาดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ ในข้อหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา, ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรสงคราม
โดยในรายงานผลการสอบสวน อัดแน่นด้วยข้อกล่าวหาฆาตกรรม, การจับกุมคุมขังตามอำเภอใจ และการกระทำรุนแรงทางเพศต่อชาวโรฮีนจา ของกองทัพเมียนมา ภายใต้ข้อกล่าวอ้างในการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้นำกองทัพอยู่เหนือกฎหมาย
ข้อเรียกร้องของคณะสอบสวนยูเอ็น กระตุ้นให้เฟซบุ๊ก สื่อออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าปล่อยให้มีการเผยแพร่ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังต่อชาวโรฮีนจาอย่างแพร่หลาย ตัดสินใจลบชื่อผู้บัญชาการกองทัพเมียนมา และหน้าเพจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเมียนมาออก โดยเฟซบุ๊ก แถลงเมื่อวานนี้ว่า เตรียมห้ามผู้บัญชาการกองทัพเมียนมา และบุคคลและองค์กรอื่น ๆ รวม 19 ราย ใช้เฟซบุ๊ก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง และการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง สร้างความเข้าใจผิด
รายงานยูเอ็นฉบับนี้ บอกด้วยว่า นางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ ไม่ได้ใช้ตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลของเธอ และไม่ใช้อำนาจด้านศีลธรรม สกัดกั้น หรือป้องกันเหตุการณ์รุนแรงในรัฐยะไข่
ทั้งนี้ มีชาวมุสลิมโรฮีนจาประมาณ 700,000 คน หลบหนีออกจากรัฐยะไข่ ข้ามพรมแดนไปยังบังกลาเทศ หลังจากเมียนมาเปิดฉากการกวาดล้างกลุ่มหัวรุนแรงชาวโรฮีนจาอย่างป่าเถื่อนในเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว ซึ่งมีทั้งการวางเพลิง, ฆาตกรรมและข่มขืน ทั้งจากฝีมือของทหารและม็อบ อย่างไรก็ตาม เมียนมาปฏิเสธเสียงแข็งต่อข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมยืนยันว่า เป็นเพียงการตอบโต้การโจมตีของกลุ่มกบฏชาวโรฮีนจา
แต่เมื่อวานนี้ คณะค้นหาข้อเท็จจริงที่ได้รับการสนับสนุนจากยูเอ็น เกี่ยวกับความรุนแรงในเมียนมา ระบุว่า นายทหารในกองทัพ ซึ่งรวมทั้งพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการกองทัพเมียนมา ต้องถูกสอบสวน และดำเนินคดีในข้อหา ฆ่าล้าเผ่าพันธุ์ต่อชาวโรฮีนจา ในรัฐยะไข่ ทางตอนเหนือของเมียนมา และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ด้วย