เปิดใจหมดเปลือก “แม่สปาย” สุดซ้ำ “เสี่ยอ้วน” กล่าวหาว่าหลอกเงินหลายล้าน ย้ำไม่เป็นความจริง ท้าพิสูจน์ได้ เสียใจแม่น้องฟอสตัดญาติ ระบุคนตายพูดไม่ได้ ขอให้ศาลลงโทษถึงที่สุด
จากกรณีคนร้ายก่อเหตุอุกฉกรรจ์ใช้อาวุธปืนยิง นายอนันตชัย จริตรัมย์ หรือ น้องฟอส อายุ 21 ปี และ น.ส.ปวีณา นาเมืองรักษ์ หรือ น้องสปาย อายุ 20 ปี ชาว อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ เสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา บริเวณลานจอดรถฝั่งตรงข้ามพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเข้าชีจรรย์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยคดีนี้มีการจับกุมผู้ต้องหาร่วมก่อเหตุเกือบทั้งหมดแล้ว รวมทั้งนายปัญญา ยิ่งดัง หรือ “เสี่ยอ้วน” อายุ 39 ปี ผู้บงการ
เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ผู้สื่อข่าว จ.กาฬสินธุ์ รายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 98 หมู่ที่ 1 บ้านนาตาล ต.นาตาล อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ นางวันเพ็ญ นาเมืองรักษ์ แม่ของน้องสปาย ซึ่งยังอยู่ในอาการเศร้าสลดและตกใจในคำให้การของ “เสี่ยอ้วน” ที่อ้างในทำนองว่า ครอบครัวของตนไปหลอกเอาเงินของ “เสี่ยอ้วน” จนเป็นเหตุให้มีการยิงน้องสปายนั้น ทันทีที่ผู้สื่อข่าวไปถึงทราบว่าวันนี้มีสื่อมวลชนจากส่วนกลางเข้าไปสอบถามหลายสำนัก โดยเฉพาะประเด็น “เสี่ยอ้วน” บอกว่าต้องการจะยิงตน ซึ่งท่าทีของ นางวันเพ็ญ นาเมืองรักษ์ ยังคงยืนยันว่า ครอบครัวไม่มีพฤติกรรมหลอกลวง เพราะเรื่องระหว่างน้องสปายกับเสี่ยอ้วนเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ที่แน่ๆคือ ลูกสาวของตนไม่ยอมที่จะแต่งงานด้วย เพราะไม่สามารถทนความป่าเถื่อนของเสี่ยอ้วนได้ ในกรณีที่เสี่ยอ้วน กล่าวอ้างนั้นทำให้ครอบครัวรู้สึกเสียใจและบอบช้ำมาก
นางวันเพ็ญ กล่าวต่อว่า ครอบครัว ได้รับการโอนเงินจากเสี่ยอ้วนจริง เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ได้ปฏิเสธแต่เสี่ยอ้วนต้องการที่จะโอนให้โดยเสน่ห์หา เพราะจะนำเงินดังกล่าวไปซื้อรถและได้ซื้อไปแล้ว อีกทั้งภายหลังจากเกิดเหตุเงินจำนวนดังกล่าวก็ถูกใช้ไปกับการจัดงานศพให้น้องสปาย ขณะนี้บัญชีทางการเงินของครอบครัว มีจำนน 3 ธนาคาร คือ 1.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นบัญชีของตน 2.บัญชีธนาคารธนชาติ เป็นบัญชีของพ่อน้องสปาย และ 3. เป็นบัญชีธนาคารธนาชาติ ซึ่งเป็นของน้องสปายที่เปิดได้เพียง 1 เดือนแล้วก็ถูกยิงเสียชีวิตยังคงมีเงินจำนวน 300,000 บาท ทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้ที่พนักงานสอบสวนและคงจะไปพิสูจน์กันในชั้นศาลต่อไปว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
“กรณีที่เสี่ยอ้วน อ้างว่าครอบครัวได้ไปหลอกให้โอนเงินนั้น ยืนยันไม่เป็นความจริง แม่และลูกสาวไม่เคยคิดที่จะหลอกใคร แต่ยืนยันว่าพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงต่างหาก ที่ไม่สามารถจะทำให้ น้องสปาย ยอมรับที่จะไปแต่งงานได้ เพราะก่อนที่จะออกจากที่ทำงาน พฤติกรรมที่หึงรุนแรงของเสี่ยอ้วน ก็คือ การเดินเข้าไปบีบคือ น้องสปายถึงในกลุ่มเพื่อนที่นั่งเล่นกันอยู่ น้องสปาย จึงตัดสินใจออกจากงานที่ทำกับเสี่ยอ้วนและไปเริ่มต้นใหม่ที่ จ.นครปฐม และภายหลังที่ลาออกเสี่ยอ้วน ก็เคยโทรศัพท์มาหาตนเพื่อต้องการที่จะให้น้องสปายกลับไปทำงานที่เดิม และตลอดเวลาก็ได้อธิบายถึงเหตุผลที่น้องสปายไม่ต้องการที่จะกลับไปทำงาน แต่เสี่ยอ้วนก็ไม่ยอมและยังคงโทรมาตลอดเพื่อขอคุยกับน้องสปาย และแม่”นางวันเพ็ญ กล่าว
นางวันเพ็ญ กล่าวต่อว่า กรณีที่เสี่ยอ้วน อ้างว่าได้สร้างบ้านให้สปายที่ จ.กาฬสินธุ์ยืนยันว่าบ้านหลังนี้เป็นน้ำพักน้ำแรงของครอบครัว อีกทั้งเป็นเงินที่ได้จากการถูกรางวัลฉลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นเงิน 200,000 บาท เงินที่พ่อของตนตายจากเงินฌาปนกิจ 400,000 บาท และเงินขายโรงสีเล็กเป็นเครื่องจักรเป็นเงิน 90,000 บาท ที่ใช้ปรับปรุงบ้านใหม่ อีกทั้งบ้านหลังนี้ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนที่น้องสปายจะไปทำงานกับเสี่ยอ้วนอีก ดังนั้นที่อ้างว่ามาสร้างบ้านให้ตนนั้นไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน ดังนั้นเมื่อเสี่ยอ้วนอ้างว่าเป็นการนำเงินมาสร้างที่บ้านน้องสปายยืนยันว่าไม่เป็นความจริง
“ส่วนกรณีแม่น้องฟอส ออกมาบอกว่าตัดญาติกันนั้น ยิ่งรู้สึกเสียใจเพราะการสูญเสียลูกสปายและน้องฟอส ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นเป็นความเจ็บปวดอยู่แล้ว แต่เมื่อออกมาพูดเช่นนั้น ก็แล้วแต่ใครที่จะคิดเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร เพราะทั้งสองคนก็เสียชีวิตไปแล้ว อีกทั้งสังคมก็มองว่าเรื่องนี้ สปายเป็นต้นเหตุ แต่ต้องการให้มองย้อนไปว่าเสี่ยอ้วน มีสิทธิอะไรที่จะต้องมาฆ่าลูกทั้งสองคน ส่วนกรณีที่เสี่ยอ้วน ออกมาบอกว่าต้องการที่จะยิงตนมากกว่านั้น ยิ่งทำให้รู้สึกเสียใจและกลัวมาก เพราะเสี่ยอ้วน มีทั้งเงินและอิทธิพล แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็ขอให้ตำรวจดำเนินการลงโทษให้ถึงที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดในข่าวขณะนี้ ก็ขอให้สงสารและนึกถึงตนและน้องสปายและน้องฟอสที่เสียชีวิตไปแล้ว ว่าทั้งสองคนที่ตายไม่สามารถพูดได้ แต่คนที่เป็นฆาตกรมาให้ข้อมูล เชื่อว่าความจริงก็คือความจริงที่จะเห็นในไม่ช้า” นางวันเพ็ญกล่าว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
คุม “เสี่ยอ้วน” ทำแผน ปิดแฟ้มคดีฆ่าโหดคู่รัก
คุม “เสี่ยอ้วน” ฟ้องศาลพัทยา ลั่น! ยอมเสีย 7 ล้าน ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี
