เผยโฉม “จิม แร็ตคลิฟฟ์” ชายรวยที่สุดในอังกฤษ

2018-08-19 17:55:04

เผยโฉม “จิม แร็ตคลิฟฟ์” ชายรวยที่สุดในอังกฤษ

Advertisement

จิม แร็ตคลิฟฟ์ นักธุรกิจชาวอังกฤษถูกจับจ้องทั้งเรื่องการฝักใฝ่ทางการเมืองและภาษีเมื่อถูกประกาศว่าเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศอังกฤษ



ชายที่มีเงินมากมายมหาศาลผู้นี้เป็นเจ้าของบริษัทเคมีภัณฑ์อินนิออสและมีทรัพย์สินรวมมูลค่าราว 2.1 หมื่นล้านปอนด์ (ราว 8.88 แสนล้านบาท) ทำให้เขาถูกจัดอันดับอยู่ในอันดับหนึ่งของการจัดอันดับผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของซันเดย์ไทม์สประจำปี 2561




โดยเขาอยู่ที่อันดับที่ 18 เมื่อปีที่แล้ว แต่มูลค่าของบริษัทซึ่งเขาถือหุ้นอยู่ร้อยละ 60 นั้นพุ่งขึ้นในปีที่แล้วทำให้เขาไต่อันดับขึ้นมาและได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นอัศวินจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองแห่งอังกฤษ





ชายผู้นี้เติบโตในย่านแมนเชสเตอร์ทางเหนือของกรุงลอนดอน และหลังจากที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมแล้ว ก็เรียนต่อปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจาก London Business School จากนั้นแร็ตคลิฟฟ์ในวัย 40 ปีก็ไปเริ่มเข้าสู่โลกธุรกิจที่บริษัทแอ็ดเวนต์อินเทอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุน แล้วจึงมาก่อตั้งบริษัทอินนิออสในปี 2541



ปัจจุบัน บริษัทอินนิออสตอนนี้มียอดขาย 6 หมื่นล้านต่อปีและมีพนักงานมากกว่า 18,000 คนใน 24 ประเทศทั่วโลก โดย อินนิออสขยายบริษัทโดยซื้ออินโนวีน บริษัทปิโตรเคมีของบีพี และแร็ตคลิฟฟ์ก็ไปซื้อโรงกลั่นน้ำมันแกรนจ์มัธในประเทศสก็อตแลนด์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตลงซื้ออินโนวีนด้วย และยังมีความสำเร็จทางธุรกิจอีกมากมาย แต่ถึงกระนั้น ชายที่ร่ำรวยที่สุดของอังกฤษก็เก็บตัวเงียบอยู่เบื้องหลังโดยใช้ชื่อเล่นแทนตัวเองว่า “JR” หรือ “Dr. No” บนหน้าโพรไฟล์ของนิตยสารไฟแนนเชียลไทม์สปี 2557





นอกจากนี้ ความเป็นส่วนตัวก็เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทอินนิออสของเขาอีกด้วย ซึ่งบริษัทเคมีภัณฑ์นี้ไม่ได้จดทะเบียนบนตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยบัญชีของบริษัท

แร็ตคลิฟฟ์เป็นหนึ่งในผู้นำบริษัทเพียงไม่กี่รายที่สนับสนุนโหวตให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป โดยเคยกล่าวกับซันเดย์ไทม์สก่อนการลงประชามติเดือนมิถุนายน 2559 ว่าชาวอังกฤษจัดการชาวอังกฤษกันเองได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องให้ทางบรัสเซลส์มาบอกว่าต้องจัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างไร”

 



อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะแสดงการสนับสนุนประเทศชาติของตัวเอง แต่ก็นำบริษัทย้ายไปยังประเทศโมนาโกเพื่อใช้ประโยชน์เรื่องภาษีจนทำให้นักการเมืองผู้สนับสนุนสหภาพยุโรปบางคนกล่าวหาว่าเขาเป็นพวกเสแสร้ง