บราซิลเผยแพร่ภาพชายชนเผ่าพื้นเมืองในป่าอะเมซอน ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว หลังจากถูกเกษตรกรฆ่าหมู่ไล่ที่ในปี 2538 กลายเป็นมนุษย์ที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก อยู่คนเดียวมานาน 22 ปี
ฟูไน (FUNAI) ซึ่งเป็นสำนักงานตรวจสอบชนเผ่าพื้นเมืองของรัฐบาลบราซิล เผยแพร่คลิปวิดีโอที่หาดูได้ยากอย่างยิ่ง เป็นภาพของสมาชิกชนเผ่าคนหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกว่า “เป็นชายที่โดดเดี่ยวเดียวดายที่สุดในโลก” (the loneliest man in the world)เนื่องจากชายชนเผ่าผู้นี้ ซึ่งอายุน่าจะประมาณ 50 ปี อาศัยอยู่ตามลำพังคนเดียวในป่าอะเมซอนของบราซิลมานาน 22 ปีแล้ว หลังจากสมาชิกชนเผ่าคนอื่น ๆ ของเขา ถูกฆ่าตายทั้งหมด เหลือเขาที่รอดชีวิตมาได้คนเดียว แต่ก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ตัดขาดจากโลกภายนอกทั้งหมด
ในคลิปวิดีโอ ที่ถ่ายในระยะไกล ซึ่งถ่ายได้ในปี 2554 และเผยแพร่โดยฟูไน เป็นภาพของชายฉกรรจ์แข็งแรง กล้ามโตคนหนึ่งกำลังใช้ขวานตัดต้นไม้ในป่าอะเมซอน ซึ่งถูกแชร์กันไปทั่วโลก แต่มันมีอะไรที่มากกว่าที่เห็นด้วยตา ถามว่าทำไมชายชนเผ่าผู้นี้จึงถูกถ่ายคลิป? ฟูไนกำลังเฝ้าจับตาชายคนดังกล่าวนี้อยู่ห่าง ๆ มาตั้งแต่ปี 2539 และต้องการแสดงให้เห็นว่า เขายังมีชีวิตอยู่ เพื่อทางรัฐบาลจะได้รื้อฟื้นคำสั่งอนุรักษ์พื้นที่ในบริเวณที่เขาสัญจร และใช้ชีวิตอยู่ ในรัฐรอนโดเนีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของบราซิล ซึ่งพื้นที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ ครอบคลุมพื้นที่ 25,000 ไร่ ถูกแวดล้อมไปด้วยฟาร์มของเอกชน และการตัดไม้ทำลายป่า แต่คำสั่งในการอนุรักษ์พื้นที่แห่งนี้ ก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ใครเข้าไป และทำอันตรายเขานั่นเอง ครั้งสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าว เห็นหลักฐานว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี่เอง
ภายใต้รัฐธรรมนูญของบราซิล ชาวชนเผ่าพื้นเมือง ก็มีสิทธิ์ในที่ดินทำกิน

ฟีโอนา วัตสัน ผู้อำนวยการด้านการวิจัยและผู้สนับสนุนขององค์การ "สืบชีวิตนานาชาติ" ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่หวังผลกำไร อุทิศตนเพื่อสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง กล่าวกับบีบีซีว่า พวกเขาต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ชายชนเผ่าคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ การเผยแพร่คลิปวิดีโอชุดนี้มีแรงกระตุ้นทางการเมืองด้วย รัฐสภาบราซิล ครองเสียงส่วนใหญ่ด้วยกลุ่มธุรกิจด้านการเกษตร ฟูไนถูกตัดเงินงบประมาณ ขณะนี้มีการทำลายสิทธิประโยชน์ของชนเผ่าพื้นเมืองครั้งใหญ่ในประเทศ
ชายชนเผ่าผู้นี้ จัดอยู่ในประเภทไม่ติดต่อกับโลกภายนอก ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ย่อมไม่มีใครได้เคยพูดคุยกับเขา เชื่อว่าเขาเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว หลังจากสมาชิกในกลุ่ม 6 คน ถูกกลุ่มเกษตรกรฆ่าหมู่ในปี 2538 ชนเผ่าของเขาไม่มีชื่อ เพราะไม่เคยตั้งชื่อ และไม่รู้ด้วยว่า ใช้ภาษาอะไรในการสื่อสาร เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่สื่อบราซิล ขนานนามเขาว่า "the Hole Indian" หรือมนุษย์โพรง เพราะเขามักขุดคูลึก ซึ่งคาดว่าเพื่อใช้ในการดักสัตว์ หรือไม่ก็หลบซ่อนตัว ในอดีตที่ผ่านมา เขาเคยทิ้งกระท่อมที่ทำด้วยฟาง และเครื่องมือที่ทำขึ้นเอง เช่นคบไฟยางสน และลูกศรไว้ด้วย

ทั้งนี้ ฟูไน มีนโยบายหลีกเลี่ยงการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ ที่แยกตัวสันโดษ แต่ก็มีความพยายามที่จะหาทางช่วยเหลือชายชนเผ่าผู้นี้อยู่ห่าง ๆ ด้วยการทิ้งมีดขนาดใหญ่, ขวาน และเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ได้ แต่ตามรายงานบอกว่า ชายคนดังกล่าวก็ไม่เคยสนใจที่จะติดต่อสื่อสารกับคนภายนอกเลย ในอดีต ชายผู้นี้ยังเคยยิงลูกศรใส่ผู้คนด้วย
ฟีโอนา วัตสัน ซึ่งเคยเดินทางเข้าไปในพื้นที่และเคยเห็นที่พักของชายชนเผ่าผู้นี้ด้วย กล่าวว่า เขาเคยได้รับประสบการณ์ที่รุนแรง เขามองว่าโลกนี้เป็นสถานที่ที่อันตรายมาก แม้ว่าคลิปวิดีโอชุดนี้ อาจดูเหมือนถ่ายระยะไกลแต่วัตสันก็ยืนยันว่า เป็นหลักฐานสำคัญในการปกป้องคุ้มครองเขา
เชื่อกันว่า สมาชิกส่วนใหญ่ในชนเผ่าของเขา ถูกฆ่าหมู่ในช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 หลังจากมีการสร้างถนนผ่านในพื้นที่ใกล้เคียง เป็นเหตุให้มีความต้องการที่ดินเพื่อเป้าหมายด้านธุรกิจมากขึ้น ซึ่งในวันนี้ เกษตรกรและพวกตัดไม้ผิดกฎหมาย ก็ยังคงต้องการที่ดินในเขตที่อยู่อาศัยของเขา จึงถือว่า เขาตกอยู่ในอันตรายไม่น้อย เพราะยังมีหลายฝ่ายต้องการเข้ามาหุบที่ดินในบริเวณนี้ ป่าฝนอะเมซอนของบราซิล เป็นบ้านของชนเผ่าที่ไม่ติดต่อกับโลกภายนอกหลายเผ่าพันธุ์ มากกว่าที่ไหน ๆ ในโลก จากผลการสำรวจของหน่วยงาน "สืบชีวิตนานาชาติ" (Survival International)
นอกจากนี้ การติดต่อกับโลกภายนอก ยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่, โรคหัด หรือภาวะอื่น ๆ ที่สามารถรักษาได้ทั่วไป แต่เป็นอันตรายต่อชนเผ่า เนื่องจากภูมิคุ้มกันของชนเผ่าอยู่ในระดับต่ำ "แต่เขาก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่พวกเรากำลังสูญหายไป นั่นคือความหลากหลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ฟูไน รายงานว่า ประชากรชนเผ่าพื้นมือง ส่วนใหญ่ถูกกลุ่มเกษตรกรขับไล่ออกไปจากพื้นที่ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 ซึ่งชายที่อยู่ในภาพนี้ เป็นผู้มีชีวิตเหลือรอดอยู่เพียงคนเดียวของกลุ่ม ซึ่งถูกเกษตรกรสังหารหมู่ในปี 2538 และในปี 2558 พื้นที่ในภูมิภาคนี้ ถูกประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองวัฒนธรรมชนเผ่าและไลฟ์สไตล์ของภูมิภาคแห่งนี้