เคยเป็นนางเอกหุ่นดี หน้าตาจุ๋มจิ๋ม พูดจาน่ารักอ่อนหวาน แต่ในบางมุมก็เป็นสาวห้าว มีความก๋ากั่นให้สัมผัสกันอยู่เนืองๆ แฟนๆ อาจจดจำเธอได้ในหลายบทบาท แต่บทบาทที่ยังเป็นที่พูดถึงอยู่จนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ บทของ 'ผู้กองฉวีผ่อง' จากละครคอมเมดี้เรื่อง "ผู้กองยอดรัก" ในเวอร์ชั่นที่เล่นคู่กับ พระเอกมาดขี้เล่น "ศรราม เทพพิทักษ์" ใช่แล้วเรากำลังพูดถึง อดีตนางเอกสาวหน้าหวานมากฝีมือของเมืองไทย "ติ๊ก กัญญารัตน์ จิรรัชชกิจ"
ซึ่งล่าสุดมีวงในเมาท์มาว่า นางเอกคนดังกำลังติสต์แตกทิ้งงานละครไปร่วม 10 ปี แถมผันตัวเองทำเบื้องหลังอย่างรายการท่องเที่ยวชื่อดัง ทำมานานกว่า 13 ปีแล้ว เรียกได้ว่าไปไหนใครก็เรียก ติ๊ก เซย์ ไฮ ไปแล้ว ล่าสุด ติ๊ก กัญญารัตน์ ได้มาเปิดใจในรายการคุยแซ่บSHOW ทางช่องONE31 กระเทาะเปลือกชีวิตเผยถึงความรักว่าไม่พร้อมเปิดตัว แต่ร้องไห้ทุกครั้งที่ได้ไปงานแต่ง เพราะก็ฝันอยากใส่ชุดเจ้าสาวอย่างคนอื่นเขาบ้าง
ชีวิตเป็นยังไงบ้าง ไม่ค่อยเห็นหน้าเลย ?
จริงๆ ก็ไม่ได้หายไปไหนนะ แต่ค่อนข้างจะบินไปทำรายการบ่อย เดือนนึงต้องทำให้ได้ 4-5 เทป บินไปทีก็อยู่ซัก 10 วัน หลังๆ เริ่มจะอยู่นานหน่อยประมาณสองอาทิตย์
แต่ที่คนเข้าใจว่าหายไปหมายถึงละคร ไม่เห็นหน้าเลยกี่ปีแล้ว ?
เรื่องล่าสุดเลยคือหยกลายเมฆน่าจะประมาณ 7 ปี แล้ว
เพราะอะไรถึงไม่รับละครแล้ว ?
จริงๆ อยากเล่นนะ แต่ว่าตอนที่ไม่ได้รับเล่นอาจเป็นเพราะว่าเด็กพอถึงช่วงวัยนึงของวัยรุ่นที่เราทำงานตั้งแต่เลข 1 จนมาถึงเลข 3 เนี่ยมันตัน ช่วงนั้นนักแสดงไม่เยอะขนาดนี้ เค้าก็จะใช้เราซ้ำๆ เรารู้สึกว่าทำงานมาตั้งแต่สิบกว่า เรารู้สึกว่าเหนื่อย เราอยากเบรก แต่ไม่คิดว่าการเบรกจะเปลี่ยนชีวิตอีกนานเลย
แล้วมีคนติดต่องานละครมามั้ย ?
ก็มีคนติดต่อละครเข้ามานะ แต่ด้วยความที่ตัวเราไม่พร้อม ในด้านของร่างกายเพราะเราเดินทางบ่อยแล้วก็น้ำหนักขึ้นด้วย เลยไม่มั่นใจ
ช่วงที่เบรกละครเรากำลังรุ่งเลย สาเหตุเพราะอะไร ?
ไม่ซับซ้อนเลย คือเรารู้สึกว่าอยากเบรกช่วงหนึ่งแค่นั้นเอง แล้วก็ผันตัวเองไปทำเบื้องหลัง อยากทำรายการของตัวเอง อยากทำอะไรที่มันเป็นของเรา เราอยากเติบโต
รู้สึกเสียดายมั้ย เพราะดาราในรุ่นของพี่ทุกวันนี้เค้าก็ยังเป็นนางเอกได้อยู่ ?
ถ้า ณ วันนี้บอกเลยว่าเสียดาย แต่เวลามันย้อนกลับไปไม่ได้ เพราะอายุเราเยอะขึ้น ต่อให้เราลงไปเล่นละคร เรารู้สึกว่าคนเค้าไม่เชื่อเราแล้ว เพราะเราโต เราทิ้งช่วงไป เราเสียดาย เราทิ้งตรงนั้นไปทำไม แทนที่เราจะโกยตรงนั้นไปก่อน ให้คนดูได้อิ่มกับเรามากกว่านี้ก่อน แล้วค่อยผันตัวเอง ตอนนี้เสียดายที่มันย้อนกลับไปไม่ได้
แล้วถ้าย้อนได้จะพักมั้ย ?
ไม่พักค่ะ คือถ้ามีคนชี้แนะว่าให้เราทำคู่ขนานกันไปได้ เราคงไม่เบรกตัวเอง
เลยเป็นที่มาของคำว่า ติ๊กติสต์แตก ?
ติ๊กไม่ได้ติสต์เลยค่ะ เพียงแต่ว่าเราแค่อยากจะเลือก มีช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องไปงาน ไปเพื่อถ่ายรูปหรอ แต่งตัวชุดราตรี จ้างช่างอะไรมากมาย ลงทุน 3-4 หมื่น ไปถ่ายรูปแล้วกลับ เพื่อโปรโมตตัวเอง เรามาถึงจุดหนึ่งแล้ว เพดานมันไม่ทะลุไปกว่านี้แล้ว คนเค้าก็รู้จักเราหมดแล้ว เราไม่ได้ต้องการไปโปรโมตตัวเองตลอดเวลา
แล้วถ้ามีละครติดต่อมาให้รับบทแม่ จะรับมั้ย ?
บทแม่หรอ หน้ายังเด็กอยู่เลยนะ (หัวเราะ) ก็รับค่ะ คือจริงๆ ขออะไรก็ได้ ที่เป็นบทแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนในตัวเรื่องด้วย การกลับไปมันต้องมีอะไรให้เราเล่น ถ้ามีบทดีๆ ก็จะรับเล่นค่ะ
ในยุคที่พี่ติ๊กเป็นนางเอกมีความกดดันกว่ามากมั้ยถ้าเทียบกับน้องๆ ยุคนี้ ?
กดดันกว่าน้องในยุคนี้มาก ยุคนี้คือเป็นยุคอิสสระ ยิ่งทำอะไรที่อิสสระ ทำอะไรที่เปิดเผยให้คนรับรู้มากขึ้น กลายเป็นว่ายิ่งดังมียอด Follow เยอะขึ้น ยิ่งทำอะไรที่เป็นแง่ลบ กลายเป็นว่ามีคนกลับผลักดันเค้ามากขึ้น ในขณะที่ยุคของติ๊กถ้าใครทำอะไรที่ผิดคุณไม่มีสิทธิ์รับงาน ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำงานกับใครได้เลย เค้าห้ามเรื่องของยาเสพติดเป็นอันดับแรกเลย เพราะเราเป็นคนของประชาชน เรื่องแฟนก็ห้าม

แล้วเรื่องที่เราไม่ต่อสัญญากับช่องช่องหนึ่งเป็นเพราะอะไร เพราะตอนนั้นก็ดังมากนะ ?
ตอนนั้นเราอยู่ช่องนั้นก็นานพอสมควร มีตัวละครอยู่แค่ 3 ตัวเอง ใช้งานอยู่แค่ ติ๊ก, กบ, น้ำผึ้ง ผลัดกันเล่นอยู่สามคน เรามองละครช่องอื่นๆ เรามองพี่ๆ ช่องอื่นๆ ที่เค้าเล่นหลากหลายบท หลากหลายผู้ร่วมงาน เราอยากได้บทหลากหลาย เราอยากลองเล่นกับพระเอกคนอื่นๆ ที่เค้ากำลังอินกัน ยอมรับว่าตอนนั้นเราก็มองพี่หนุ่ม ศรราม ว่าพี่เค้าอยู่ช่องนี้ แล้วเค้าก็ย้ายไปอยู่อีกค่ายนึง แล้วเค้าก็ได้เล่นทั้งช่องนี้ กับช่องนี้ มันได้หลากหลาย จริงๆ เราไม่ได้อยากไปอยู่กับใครเลย อยากได้ร่วมงานหลากหลายโอกาส เพราะเราได้แต่บทพีเรียดเกือบทุกเรื่อง


แล้วที่เคยมีข่าวเกาเหลากับ "อั้ม พัชราภา" ล่ะ เพราะอะไร ?
จริงๆ มันอาจจะเป็นช่วงเปลี่ยนยุค ไม่ได้เกี่ยวกับติ๊กเลย มันเป็นช่วงที่เราเปลี่ยนชีวิตของเรา พอหมดสัญญาปุ๊บ เราก็คิดว่ากำลังจะต่อ ทางช่องเค้าก็มีเตรียมให้สองสามเรื่อง อีกที่หนึ่งเค้าก็ยื่นนักแสดงแต่ละเบอร์มาให้เราเล่น แต่ละบทให้เราเล่น เรารู้สึกมันท้าทาย มันต้องเลือก
แล้วเรื่องรายการที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นยังไง ?
ตอนนี้ก็ทำมา 13 ปีแล้วค่ะ ทำญี่ปุ่นมา 12 ปี เพิ่งมาปีนี้มีที่อื่นสลับมาบ้าง ซึ่งสมัยก่อนไปญี่ปุ่นนี่ไปยากมาก ทำไม่ถึงปีแรก ทั้งสายการบิน ทั้งคนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 70% ปีต่อมาได้เป็นทูตการท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น

เราไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศญี่ปุ่นขนาดนี้ ทางรัฐบาลเค้ามีสนับสนุนอะไรเรามั้ย ?
ก่อนหน้านี้ยังมีสนับสนุนนะ แต่หลังๆ เริ่มมีรายการต่างๆ ทางโซเชียลมากขึ้น เค้าก็ไปอินกับตรงนั้น บางทีก็ลืมเราบ้าง ถามว่าน้อยใจมั้ย ก็น้อยใจนะ ชั้นทำแทบตาย
เห็นมีกระแสข่าวว่ารายการขาดทุนถึง 8 หลัก
ไม่ถึง 8 หลักนะ แต่ก็มีจุดเปลี่ยนของทีวีบ้านเรา เพราะคนไปเสพทางโซเชียลกันพอสมควร การซื้อโฆษณาที่เต็มตลอดก็หายไปพอสมควร ด้วยช่องต่างๆ ก็มีมากขึ้น มีรายการท่องเที่ยวเพิ่มมาอีก ลูกค้าเค้าก็กระจายไปซื้อเด็กรุ่นใหม่บ้างที่ทำอะไรหลากหลายบ้าง

แล้วเรื่องความรักล่ะ ตอนนี้โสดหรอ ?
ก็ถือว่าโสดนะ ถามว่ามีมั้ยก็มีเข้ามาบ้าง เพียงแต่ว่าการอยู่แบบนี้เราสบายใจ ถ้าเปิดไปแล้วไม่ใช่ เราก็เสีย เวลาเปิดทีนึงหลายๆ คนก็ต่างมาจ้องคนของเรา มันเหนื่อย
เคยมีความฝันอยากใส่ชุดเจ้าสาวแบบเพื่อนๆ มั้ย ?
มีค่ะ ทุกครั้งที่ไปงานแต่งงาน ทุกครั้งที่บ่าวสาวขึ้นเวที ทุกครั้งที่เค้ามีถ้อยคำถึงกันดีๆ ร้องไห้ทุกครั้ง
