ใจหาย! “เรือรบหลวงโพธิ์สามต้น” กลายเป็นเศษเหล็กลอยน้ำ

2018-05-17 17:30:23

ใจหาย! “เรือรบหลวงโพธิ์สามต้น” กลายเป็นเศษเหล็กลอยน้ำ

Advertisement

ชาวจันทบุรีใจหาย เรือรบหลวงโพธิ์สามต้น หนึ่งเดียวในทวีปเอเชีย ที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ที่ประดิษฐานอู่ต่อเรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บ้านเสม็ดงาม อาจกลายเป็นเศษเหล็กลอยน้ำ หลังไม่มีงบประมาณบำรุงซ่อมแซมเป็นพิพิธภัณฑ์

ที่อู่ต่อเรือบ้านเสม็ดงาม ม. 10 ต.หนองบัว อ.เมือง จ.จันทบุรี ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังมีข่าวว่า เรือรบหลวงโพธิ์สามต้น ซึ่งเป็นเรือรบหลวงลำประวัติศาสตร์ ที่เคยร่วมงานสวนสนามทางเรือในพิธีราชาภิเษก พระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ที่ประเทศอังกฤษ และถูกที่นำมาประดิษฐานที่ท่าน้ำ หน้าอนุสรณ์สถานอู่ต่อเรือบ้านเสม็ดงาม หลังปลดประจำการ เพื่อบำรุงซ่อมแซมสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ เมื่อเดือน ต.ค. ปี 2555 ปัจจุบันเรือรบหลวงนั่งแท่นเกยตื้น และเกิดชำรุดทรุดโทรมเสียหาย หลังหมดงบประมาณในการบำรุงซ่อมแซมมานานกว่า 5 ปี

โดยผู้สื่อข่าวได้ไปพบกับ นายนิพนธ์ หนองริมบ้าน อายุ 62 ปี ประธานมูลนิธิอนุสรณ์สถานอู่ต่อเรือบ้านเสม็ดงาม ได้พาไปตรวจสอบ เรือรบหลวงโพธิ์สามต้น



ที่ยังคงจอดเทียบท่า ที่บริเวณท่าน้ำหน้าอนุสรณ์สถาน จากการตรวจสอบ พบว่า เรือรบหลวง อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม โดยเฉพาะลำเรือและใต้ท้องเรือถูกสนิม
กัดกินจนผุกร่อน นอกจากนี้ ตัวเรือยังประสบปัญหาอยู่ในสภาพนั่งแท่นจมอยู่กับพื้นทราย เนื่องจากมีรอยรั่วหลายจุด

จากการสอบถาม นายนิพนธ์ ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของเรือลำนี้ว่า เรือรบหลวงโพธิ์สามต้น เป็นเรือกวาดทุ่นระเบิดใกล้ฝั่ง ความยาว 67.50 เมตร ความกว้าง 10.68 เมตร และเป็นเรือที่ต่อขึ้นจากอู่ต่อเรือเลกเฟิร์นคอนสตรักชั่น เมืองโทรอนโด ประเทศแคนาดา ขึ้นระวางประจำการวันที่ 20 พ.ย. ปี 2490 แต่เดิมหมายเลขประจำเรือคือ หมายเลข 1 ต่อมาเปลี่ยนเป็น 415 และเดิมเรือลำนี้คือเรือ HMS นิวสเตอร์ ซึ่งสหราชอาณาจักร มอบให้ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2490 จากนั้นวันที่ 4 เม.ย. 2496 ได้กลายเป็นเรือฝึกนักเรียนนายเรือ และเดินทางไปร่วมงานสวนสนาม ทางเรือในพิธีราชาภิเษก พระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ที่ประเทศอังกฤษ



หลังเรือรบหลวงถูกปลดประจำการ ต่อมาได้มีการอัญเชิญเรือหลวงโพธิ์สามต้น มาจากอู่กรมทหารเรือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เพื่อประดิษฐานที่อู่ต่อเรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรืออู่ต่อเรือบ้านเสม็ดงาม จ.จันทบุรี ในครั้งนี้ ใช้งบประมาณในการลากเรือมาที่ จ.จันทบุรี จำนวน 5 ล้าน 7 แสนบาท ก่อนจะนำมาปรับปรุงซ่อมแซมให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และเป็นแหล่งเรียนรู้อีก 23 ล้านบาท ซึ่งการอัญเชิญเรือรบหลวงโพธิ์สามต้น จากอู่กรมทหารเรือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ มาประดิษฐานที่อู่ต่อเรือพระเจ้าตาก หรืออู่ต่อเรือบ้านเสม็ดงาม ถือเป็นสถานที่เดิมที่ใช้ต่อเรือเมื่อครั้งยกทัพไปตีพม่าเพื่อกู้เอกราชของชาติ โดยมีคหบดีใน จ.สมุทรปราการ เป็นผู้บริจาคงบประมาณในการลากเรือรบหลวงโพธิ์สามต้น เพื่อนำมาจอดเทียบท่าเรือบ้านเสม็ดงาม ต่อมา ผู้บริจาคประสบภาวะทางการเงิน จนไม่สามารถหางบประมาณ มาบำรุงซ่อมแซม เรือรบหลวงต่อ ทำให้ถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพอย่างที่เห็น 


นายนิพนธ์ บอกอีกว่า ขณะนี้ทางกองทัพเรือ มีงบประมาณให้จำนวน 103 ล้านบาท เพื่อใช้ในการบำรุงซ่อมแซมเรือลำนี้ เบื้องต้นทางจังหวัดได้เชิญไป ร่วมประชุมหารือ โดยผลสรุปในที่ประชุมเบื้องต้น มีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน บางส่วนอยากให้นำไปทิ้งเนื่องจากเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ บางส่วนอยากให้เก็บไว้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากผิดวัตถุประสงค์ของการใช้งบประมาณจำนวนดังกล่าว 


ในส่วนของตัวเอง มีความคิดที่จะอนุรักษ์เรือรบหลวงลำนี้ไว้ โดยได้วางโปรเจค ที่จะดำเนินการบำรุงซ่อมแซม ก่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ “ พระศรีสรรเพชญ์”
ซึ่งเป็นพระนามแรกของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่จัดเป็นนิทรรศการ เก็บรวบรวมประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตลอดจนการสร้างห้องประชุมสัญจร ไว้ในลำเรือนี้ พร้อมทั้งมีการวางระบบป้องกันความ เสื่อมโทรม และง่ายต่อการดูแลรักษา นอกจากนี้โดยรอบพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ จะสร้างเป็นทางเดินออกกำลังกาย ส่วนยอดจะใช้เป็นหอสูงสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ต้องการความ ท้าทาย ให้โรยตัวจากหอสูงตามลวดสลิง กลับมายังหาดทรายหน้าอนุสรณ์สถาน

นอกจากนี้ ยังจะดำเนินการก่อสร้างเกาะทรายที่อยู่เหนือร่องน้ำให้กลายเป็นสวนสาธารณะ พร้อมสร้างสะพานลิงเชื่อมต่อกับหาดทรายหน้าอนุสรณ์สถาน ซึ่งทั้งหมดการดำเนินงานก่อสร้างโปรคเจคนี้ คาดว่าจะใช้งบประมาณไม่เกิน 50 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขึ้นอยู่กับความเป็นชอบของจังหวัดและหน่วยงาน อีกหลายฝ่าย ว่าจะมีความคิดเห็นพ้องกันหรือไม่ หากโครงการแล้วเสร็จ คาดว่า พิพิธภัณฑ์ พระศรีสรรเพชญ์ จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ติดอันดับต้นๆของจังหวัดและของประเทศได้อย่างแน่นอน