“นิด้าโพล” ชี้ ปชช.อยากได้ "บิ๊กตู่" นายกฯ คนต่อไป

2018-05-13 10:15:08

“นิด้าโพล” ชี้ ปชช.อยากได้ "บิ๊กตู่" นายกฯ คนต่อไป

Advertisement

"นิด้าโพล" เผยผลสำรวจนายกรัฐมนตรีคนต่อไปที่ประชาชนอยากได้ ปรากฏว่า ร้อยละ 32.24 อยากให้ "ลุงตู่" นั่งนายกฯ ต่อไป ขณะที่ "พรรคเพื่อไทย" ครองแชมป์อยากให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่วนปัญหาที่อยากให้นายกฯ คนต่อไปเข้ามาแก้ไขมากที่สุด ร้อยละ 71.04 ระบุ ขอให้แก้ไขปัญหาปากท้อง หนี้สินของประชาชน ปัญหาการว่างงาน และราคาพืชผลตกต่ำก่อนอันดับแรก


ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน (ครั้งที่ 2)” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 8 – 9 พ.ค. 2561 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่าง ด้วยความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” ด้วยวิธีแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยแบ่งชั้นภูมิตามภูมิภาค จากนั้นในแต่ละภูมิภาคสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ ร้อยละ 95.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้เข้ามาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 57.52 ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคใหม่ ๆ เพราะอยากเห็นคนใหม่ ๆ นโยบายใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ๆ เข้ามาบริหารและพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่บางส่วนระบุว่า เบื่อการบริหารงานของพรรคการเมืองเก่า ร้อยละ 37.36 ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคเก่า เพราะ มีประสบการณ์ ทำงานอย่างมีระบบ เคยเห็นผลงานมาแล้ว มั่นใจในผลงาน มีความคุ้นเคยกับประชาชนเป็นอย่างดี เข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าพรรคการเมืองพรรคใหม่ และร้อยละ 5.12 ระบุว่า ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ



ด้านบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน (10 อันดับแรก) พบว่า ส่วนใหญ่ อันดับ 1 ร้อยละ 32.24 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) รองลงมา อันดับ 2 ร้อยละ 17.44 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 3 ร้อยละ 14.24 ระบุว่าเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) อันดับ 4 ร้อยละ 10.08 ระบุว่าเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (พรรคอนาคตใหม่) อันดับ 5 ร้อยละ 7.92 ระบุว่าเป็น พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ (รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย) อันดับ 6 ร้อยละ 6.24 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส (หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย) อันดับ 7 ร้อยละ 3.44 ระบุว่าเป็น นายชวน หลีกภัย (อดีตนายกรัฐมนตรี) อันดับ 8 ร้อยละ 2.08 ระบุว่าเป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (รองนายกรัฐมนตรี) อันดับ 9 ร้อยละ 0.72 ระบุว่าเป็น นายปิยบุตร แสงกนกกุล (พรรคอนาคตใหม่) และนายอนุทิน ชาญวีรกูล (หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย) ในสัดส่วนที่เท่ากัน และอันดับ 10 ร้อยละ 0.64 ระบุว่าเป็น พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ (พรรคพลังชาติไทย)

เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล (10 อันดับแรก) พบว่า ส่วนใหญ่ อันดับ 1 ร้อยละ 32.16 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 25.12 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ (หนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี) อันดับ 3 ร้อยละ 19.20 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 4 ร้อยละ 11.60 ระบุว่าเป็น พรรคอนาคตใหม่ อันดับ 5 ร้อยละ 2.32 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชนปฏิรูป (นายไพบูลย์ นิติตะวัน) และพรรคเสรีรวมไทย ในสัดส่วนที่เท่ากัน อันดับ 6 ร้อยละ 2.08 ระบุว่าเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา อันดับ 7 ร้อยละ 1.92 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 8 ร้อยละ 1.28 ระบุว่าเป็น พรรคพลังชาติไทย (พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์) อันดับ 9 ร้อยละ 0.72 ระบุว่าเป็น พรรคเกรียน และอันดับ 10 ร้อยละ 0.08 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธรรมไทย



สำหรับปัญหาที่อยากให้นายกคนต่อไปเข้ามาแก้ไขมากที่สุด พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.04 ระบุว่า ปัญหาปากท้อง หนี้สินของประชาชน ปัญหาการว่างงาน และราคาพืชผลตกต่ำ รองลงมา ร้อยละ 13.84 ระบุว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น การใช้อำนาจโดยมิชอบ ผู้มีอิทธิพล ร้อยละ 6.40 ระบุว่า ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม มิจฉาชีพ ร้อยละ 4.64 ระบุว่า ปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในปัจจุบัน ร้อยละ 2.72 ระบุว่า ปัญหาด้านสุขภาพการรักษาพยาบาล และการคุ้มครองความเสี่ยงของผู้บริโภค ร้อยละ 1.12 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ปัญหาการคมนาคม ปัญหาด้านการบังคับใช้กฎหมาย ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ทุกข้อรวมกัน และร้อยละ 0.24 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความเชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้ง ภายในเดือน ก.พ. 2562 โดยไม่มีการเลื่อนออกไปอีก พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 57.76 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่น เพราะยังไม่มีความพร้อม สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเลื่อนการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้งเลยทำให้ขาดความเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 31.68 ระบุว่า เชื่อมั่น เพราะบ้านเมืองเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว เชื่อมั่นในความสามารถและความพร้อมของรัฐบาล และจะได้เป็นไปตามแนวทางที่รัฐบาลได้วางไว้ และร้อยละ 10.56 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ