ศาลสั่งติดกำไล EM ขับเสพ เมาสุรา 39 ราย

2025-01-03 10:03:42

ศาลสั่งติดกำไล EM ขับเสพ เมาสุรา  39 ราย

Advertisement

อธิบดีกรมคุมประพฤติเผย 7 วันปีใหม่ กทม. เชียงใหม่  นนทบุรี ยอดเมาขับสูงสุด มีคดีเข้าสู่กระบวนการ  6,556 คดี ศาลสั่งคุมประพฤติติดกำไล EM  39 ราย

เมื่อวันที่ 3 ม.ค.68 พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยสถิติคดีคุมประพฤติต้อนรับปีใหม่ 2568 โดยวันที่ 2 ม.ค.68 มีคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติรวมทั้งสิ้น 969 คดี โดยเป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา 891 คดี และคดีขับเสพ 76 คดี ขับซื่ง 2 คดี สรุปยอดสะสม 7 วันที่มีการควบคุมเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.67 - 2 ม.ค.68 มีคดีคุมประพฤติรวม 6,556 คดี ยอดติด EM เมาขับ ขับเสพรวม  39 ราย ดังนี้

-คดีขับรถขณะเมาสุรา 6,317 คดี (ร้อยละ 96.36) ติด EM 37 ราย

-คดีขับเสพ 233 คดี (ร้อยละ 3.55) ติด EM 2 ราย

-คดีขับรถประมาท 4 คดี (ร้อยละ 0.06)

-คดีขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด 2 คดี (ร้อยละ 0.03)

จังหวัดที่มียอดสะสมคดีขับรถขณะเมาสุราสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 468 คดี เชียงใหม่ 424 คดี และนนทบุรี 341 คดี

พ.ต.ต.สุริยา เปิดเผยว่า สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดสกลนคร และสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดปราจีนบุรี ดำเนินการตามคำสั่งศาลติดอุปกรณ์ EM ให้กับผู้กระทำผิดในคดีเมาแล้วขับและขับเสพ จำนวน 6 ราย เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งในบางรายมีการกระทำผิดซ้ำ ศาลจึงเพิ่มเงื่อนไขโดยให้พักใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 6 เดือน นอกจากนี้ ศาลได้สั่งคุมความประพฤติกรณีขับซิ่ง จำนวน 2 ราย (ขับขี่รถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น) โดยผู้ถูกคุมความประพฤติต้องมารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด ทั้งนี้ เข้าสู่วันที่ 7 ของช่วงเฝ้าระวังเข้มข้นเทศกาลปีใหม่ สำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศยังคงจัดกิจกรรมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยการผสานกำลังสำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ อาสาสมัครคุมประพฤติ ผู้ถูกคุมประพฤติ และภาคีเครือข่าย ในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ จุดบริการประชาชน ด่านชุมชน และด่านตรวจค้นบริเวณทางสายรองที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดอุบัติเหตุ รวม 50 จุด โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 654 คน และยังเพิ่มกิจกรรมการร่วมสังเกตการณ์การจราจรและพฤติกรรมการใช้ยานพาหนะตามถนนสายหลักและถนนสายรอง ผ่านกล้อง CCTV แบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างความตระหนักและให้เห็นพฤติกรรมของผู้ขับขี่ทางถนน สามารถวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ของตนเองให้กลับมาปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด