"แม่หยัวEP5" กล้าเล่นประเด็น LGBTQ+ สมัยอยุธยา ถือว่าทำถึงจริง !!

2024-11-10 08:00:46

"แม่หยัวEP5" กล้าเล่นประเด็น LGBTQ+ สมัยอยุธยา ถือว่าทำถึงจริง !!

Advertisement

"แม่หยัวEP5" กล้าเล่นประเด็น LGBTQ+ สมัยอยุธยา ถือว่าทำถึงจริง !!



ในละคร #แม่หยัวep5 ที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปิดตัวของตัวละครที่เป็น LGBTQ+ ถึงสามคนด้วยกัน ซึ่งรวมถึงตัวละครหลักอย่าง "ตันหยง" และผู้ดูแลหอพระทั้งสองคนที่ทำให้เกิดการพูดถึงกันอย่างมากในกลุ่มคนดู ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ตัวละคร LGBTQ+ เหล่านี้ไม่ได้ถูกนำเสนอแบบเกินจริงหรือเป็นเพียงตัวประกอบที่สร้างสีสันเท่านั้น แต่พวกเขามีบทบาทจริงในเรื่องและมีมิติของตัวละครที่ชัดเจน ตัวละคร "ตันหยง" ที่เคยมีการบอกใบ้ถึงความเป็นเกย์มาตั้งแต่ตอนแรกที่คอยดูแลและช่วยเหลือ "จินดา" นับเป็นการนำเสนอที่อ่อนโยนแต่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นจากท่าทีหรือการแสดงออกที่มีความเป็นธรรมชาติ ทำให้คนดูเชื่อมโยงและรับรู้ได้ถึงตัวตนของเขาแบบไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม






ที่น่าสนใจคือการแคสต์นักแสดงมารับบทเป็นผู้ดูแลหอพระใน #แม่หยัวep5 ทำได้อย่างลงตัว ตัวละครเหล่านี้ปรากฏตัวเพียงไม่นานแต่กลับสร้างความประทับใจด้วยสายตา ท่าที และบุคลิกที่แสดงถึงความเป็น LGBTQ+ ได้อย่างเหมาะสม การสื่อสารที่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่แสดงผ่านภาษากายและการกระทำ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงและเห็นถึงความเป็นตัวตนของพวกเขา การแคสติ้งแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เพราะต้องการนักแสดงที่สามารถสะท้อนมิติและตัวตนของคนกลุ่มนี้ได้จริงๆ เพื่อให้คนดูรู้สึกถึงความสมจริงและความใกล้ชิด





สิ่งที่ละคร #แม่หยัว ทำให้เห็นคือการนำเสนอ LGBTQ+ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องจำกัดตัวละครเหล่านี้อยู่เพียงในซีรีส์วายหรือเป็นตัวประกอบที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มสีสันเท่านั้น ละครทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าการมีตัวละครที่เป็น LGBTQ+ ในเรื่องราวต่างๆ เป็นเรื่องที่ปกติ ควรค่าแก่การยอมรับและเป็นภาพสะท้อนของสังคมที่ก้าวหน้ามากขึ้น การให้ความสำคัญและพื้นที่ให้ตัวละคร LGBTQ+ เหล่านี้มีบทบาทที่สมจริงและมีคุณค่าช่วยส่งเสริมให้เกิดการยอมรับในสังคม ช่วยเปิดมุมมองของคนดูให้กว้างขึ้นและสร้างความเข้าใจว่า LGBTQ+ ควรได้รับการยอมรับและถูกนำเสนอในเรื่องราวทุกประเภทโดยไม่มีข้อจำกัด





ในสมัยอยุธยา การมีความสัมพันธ์เชิงเพศที่ถือว่าเป็น "การเล่นเพื่อน" (ระหว่างหญิงกับหญิง) หรือ "เล่นสวาท" (ระหว่างชายกับชาย) ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่นอกกรอบศีลธรรมและขัดกับบรรทัดฐานของสังคมและศาสนาในยุคนั้น ซึ่งมีอิทธิพลจากศาสนาพุทธเป็นหลัก กฎหมายในสมัยนั้นหรือที่เรียกว่า กฎหมายตราสามดวง มีการบัญญัติโทษต่อการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่ถือว่าเหมาะสม



ส่วนโทษสำหรับการกระทำในลักษณะนี้นั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์และสถานะทางสังคมของผู้กระทำผิด ตัวอย่างโทษที่อาจถูกบังคับใช้ เช่น การลงโทษทางร่างกาย (เช่น การเฆี่ยนตี) การกักขัง หรือการเนรเทศ หากการกระทำดังกล่าวเป็นที่เปิดเผยหรือเป็นที่รู้จักในวงกว้าง การลงโทษอาจจะรุนแรงขึ้นเพื่อแสดงถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม

นอกจากนี้การมีความสัมพันธ์แบบหญิงกับหญิงหรือชายกับชายในยุคนั้น ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ จึงถูกตำหนิในเชิงศีลธรรมด้วย.