กรมควบคุมโรคเตือนรับมือโรคภัยหน้าหนาว

2024-11-06 17:16:30

กรมควบคุมโรคเตือนรับมือโรคภัยหน้าหนาว

Advertisement

กรมควบคุมโรคเตือนรับมือโรค ภัยสุขภาพในช่วงหน้าหนาว ทั้ง โควิด 19 ไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ฝุ่น PM2.5 การเสียชีวิตจากอากาศหนาว การขาดอากาศหายใจการสูดดมแก๊สพิษจากเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้ระบบแก๊ส โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน

เมื่อวันที่ 6 พ.ย.67 พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค  พร้อมด้วย นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวในหัวข้อ "หน้าหนาว อุ่นใจ ปลอดภัย ห่างไกลโรค" พร้อมแนะแนวทางการรับมือโรคและภัยสุขภาพในช่วงฤดูหนาวปีนี้ ดังนี้

โควิด 19 พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. - 2 พ.ย.67 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 41,142 ราย เสียชีวิต 214 ราย โดยระหว่างวันที่ 27 ต.ค. - 2 พ.ย.67 พบผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 549 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้เสียชีวิตเป็นผู้สูงอายุ

ไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 26 ต.ค.67 มีผู้ป่วย 595,855 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กเล็ก และวัยเรียน พบผู้เสียชีวิต 47 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว และไม่ได้รับวัคซีน

โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) ตั้งแต่วันที่ 1  ม.ค.  - 31 ต.ค.67 มีรายงานผู้ป่วยปอดอักเสบ จาก เชื้อไวรัสอาร์เอสวี 6,934 ราย

ทั้งนี้ ในสภาพอากาศที่เริ่มเปลี่ยนแปลงและกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว กรมควบคุมโรคยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนตระหนักถึงการป้องกันการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ทั้ง 3 โรคดังกล่าว ควรดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ 2. เลี่ยงการนำมือมาสัมผัสจมูก ปาก ตา 3.หากไปในสถานที่ปิดหรือแออัด ควรสวมหน้ากากอนามัย 4.ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น 5. หมั่นเช็ดถูทำความสะอาดของเล่นเด็กเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังพบเด็กป่วย และ 6. เลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ

ไข้เลือดออก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 30 ต.ค.67 พบผู้ป่วย 92,203 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยเรียน เสียชีวิต 96 ราย มาตรการสำรวจและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายยังเป็นสิ่งที่ต้องเน้นย้ำ พร้อมกับเน้นงดจ่ายยากลุ่ม NSAIDs แก่ผู้ป่วยที่สงสัยเป็นโรคไข้เลือดออก ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายเลือดออกในทางเดินอาหาร ขอแนะนำให้ประชาชนและผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกทายากันยุง เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด และป้องกันการแพร่เชื้อไข้เลือดออกสู่บุคคลในครอบครัวและชุมชน

สำหรับโรคและภัยสุขภาพอื่นๆ ที่ต้องติดตามในช่วงเข้าสู่ฤดูหนาวนี้ ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 การเสียชีวิตจากภาวะอากาศหนาว การขาดอากาศหายใจและการสูดดมแก๊สพิษ จากเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้ระบบแก๊ส และโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน

ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระหว่างวันที่ 1-31 ต.ค.67 พบว่ามีค่าฝุ่น PM2.5 ระหว่าง 3-61 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และมี 20 จังหวัดที่มีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน (มากกว่า 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) นอกจากนี้ยังพบว่าจังหวัดที่มีค่าฝุ่นสูงที่สุด คือ จังหวัดกาญจนบุรี (วันที่ 8 ต.ค.67) กลุ่มเสี่ยงที่เป็นกลุ่มเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง ควรติดตามสถานการณ์ฝุ่นอย่างใกล้ชิด เมื่อมีคำเตือนค่าฝุ่น PM2.5 สูง ควรปฏิบัติตนตามมาตรการ “หลีก ปิด ใช้ เลี่ยง ลด” หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ใช้หน้ากากป้องกันฝุ่น PM2.5 เลี่ยงกิจกรรมภายนอกอาคาร ลดการใช้รถยนต์และการเผาทุกชนิด

การเสียชีวิตจากภาวะอากาศหนาว จากรายงานการเฝ้าระวังสถานการณ์การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาว ระหว่างปี 2558-2567 พบว่ามีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 242 ราย สูงสุดในช่วงเดือน ธ.ค. - ม.ค. จึงขอเน้นย้ำประชาชนเตรียมความพร้อมดูแล ส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่เพียงพอ รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจเป็นปัจจัยเสริมให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในช่วงภาวะอากาศหนาวมากขึ้น

การขาดอากาศหายใจและการสูดดมแก๊สพิษ จากเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้ระบบแก๊ส จากข้อมูลระหว่างปี 2551 - ต.ค.67 พบว่ามีรายงานทั้งสิ้น 34 เหตุการณ์ เป็นผู้ป่วย 41 ราย เสียชีวิต 10 ราย เน้นย้ำคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคระบบทางเดินหายใจ ควรให้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะหากได้รับแก๊สดังกล่าวจะทำให้เสียชีวิตได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่นๆ และควรสังเกตอาการที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับแก๊สระหว่างใช้ห้องน้ำ เช่น วิงเวียน หน้ามืด หายใจลำบาก ควรรีบออกจากห้องน้ำหรือให้การช่วยเหลือทันที

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน จากข้อมูลกองระบาดวิทยา พบว่า กลุ่มเด็กที่มีอายุ 5-9 ปี ร้อยละ 57.89 ตรวจพบเชื้อไวรัสก่อโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันมากที่สุด แนะนำให้ยึดหลัก "สุก ร้อน สะอาด" ปฏิบัติตนดังนี้ 1. กินอาหารปรุงสุก ใหม่ 2. หากเก็บอาหารไว้เกิน 2 ชั่วโมง อุ่นร้อนให้ทั่วถึงก่อนกินทุกครั้ง 3. ล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหารทุกครั้ง 4. ดื่มน้ำต้มสุกหรือน้ำบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย. 5. บริโภคน้ำแข็งที่สะอาด ไม่มีสีหรือกลิ่นผิดปกติ

นอกจากนี้ ในช่วงเทศกาลงานบุญ งานกฐิน ที่ประชาชนต้องมีการจัดเตรียมอาหารทำบุญ และมีการเดินทางเป็นหมู่คณะ โรคและภัยสุขภาพที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่ อาหารเป็นพิษ ซึ่งต้องยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” และต้องล้างมือ ด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงประกอบอาหารสำหรับการเดินทาง แนะนำให้คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งตลอดการเดินทาง ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการเดินทางในเวลากลางคืน เนื่องจากทัศนวิสัยอาจไม่ดี เป็นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

สำหรับเทศกาลลอยกระทงที่จะมาถึง มีให้ระวังเรื่องการจุดพลุ ประทัด ทั้งนี้ สถานการณ์พลุ ประทัดระเบิด ตั้งแต่ปี 2562 - 2566พบผู้บาดเจ็บ 4,225 ราย และเสียชีวิต 10 ราย จึงขอเน้นย้ำให้ประชาชนระมัดระวัง ควรออกห่างจากบริเวณที่มีการจุดประทัด ดอกไม้ไฟ หรือพลุ หากเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บให้โทร 1669 และรีบส่งโรงพยาบาล ให้เร็วที่สุด และในช่วงเทศกาลลอยกระทง เนื่องจากวัยรุ่นอาจมีการแสดงแสดงออกการเป็นคู่รัก แนะนำให้ป้องกันตนเอง ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง สังเกตและหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีผื่น แผล ตุ่ม หนองสงสัย หากมีความเสี่ยงแนะนำให้ปรึกษาและรับการตรวจที่คลินิกทันที

สถานการณ์โรคระบาดในต่างประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ โรคไข้หวัดนก ยังพบมีรายงานเป็นระยะ โดยเฉพาะสายพันธุ์ H5N1 ซึ่งติดต่อจากสัตว์สู่คน แต่ยังจำกัดความสามารถติดต่อจากคนสู่คน ข้อมูลล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก (WHO) มีรายงานพบเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในฟาร์มสัตว์ปีก ในเมืองดงแฮ จังหวัดคังวอนโด สาธารณรัฐเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 2 ต.ค.67 และเมื่อวันที่ 4 พ.ย.67 มีรายงานคนงานฟาร์มสัตว์ปีกในรัฐวอชิงตัน ติดเชื้อ 9 ราย ผู้ติดเชื้อ 3 รายยืนยันว่าทั้งหมดเป็นไวรัสไข้หวัดนกชนิด A (H5N1) สำหรับประเทศไทย พบผู้ป่วยรายสุดท้าย เมื่อปี 2549 ทั้งนี้ ยังคงเน้นย้ำประชาชน ให้รับประทานอาหารที่ปรุงสุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ปีก ไข่ และผลิตภัณฑ์จากโคนม หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีก สุกร หรือโคนมที่ป่วยหรือตาย หากต้องสัมผัสกับสัตว์ปีก สุกร หรือโคนม ควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ หรือตาแดงอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติเสี่ยงดังกล่าวให้แพทย์ทราบ