"ณัฐพงษ์" ตั้งกระทู้ถาม 4 ข้อพิรุธรับซื้อพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ 3,600 เมกกะวัตต์ ไม่เปิดประมูล ล็อกสเปค ด้าน "พีระพันธุ์" ยืนยันมีปัญหาจริง สั่งทบทวนแก้ไขแล้ว ขึ้นอยู่กับนายกฯ ตัดสินใจ
เมื่อวันที่ 24 ต.ค.67 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้สดด้วยวาจาต่อนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกกะวัตต์ โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน มาเป็นผู้ตอบกระทู้แทน
นายณัฐพงษ์ ระบุว่า มี 4 ข้อพิรุธที่เกี่ยวข้องกับการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนที่อยากถามต่อรัฐมนตรี กล่าวคือ 1) กระบวนการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ใช้กระบวนการเดียวกับการรับซื้อไฟฟ้า 5,200 เมกกะวัตต์ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐมนตรีก็เคยอยู่ในคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในรัฐบาลที่ผ่านมา ย่อมปฏิเสธการรับรู้รับทราบไม่ได้ว่า ไม่มีการประมูล ไม่มีการแข่งขันเกิดขึ้น 2) ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ล่วงหน้า ทั้งที่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างปกติต้องมีการประกาศหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนก่อนผู้ประมูลยื่นซองประมูล แต่รอบนี้ใช้วิธีการคัดเลือกแบบที่ไม่มีความโปร่งใส ให้เอกชนมายื่นซองก่อน เมื่อปิดรับซองในการสมัครแล้วค่อยประกาศหลักเกณฑ์ทีหลัง กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ ได้ส่งผลให้การรับซื้อพลังงาน 5,200 เมกกะวัตต์ที่ผ่านมามีกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มที่กินรวบ ได้รับสัมปทานจากรัฐไปถึง 58% ของการรับซื้อในครั้งที่ผ่านมาและกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง 3) มีการปิดกั้นการแข่งขัน โดยการประกาศรับซื้อ 3,600 เมกกะวัตต์ในครั้งนี้ มีจำนวนกว่า 2,000 เมกกะวัตต์ ที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ให้เป็นโควต้าที่ล็อกให้ผู้ที่ยื่นซองในครั้งที่แล้ว แต่ไม่ได้รับการคัดเลือก โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ก็มีการออกมติเป็นข้อสังเกตแล้วว่า การกำหนดหลักเกณฑ์แบบนี้เป็นการปิดกั้นการแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหม่ และโอกาสของประเทศที่จะได้ผู้เสนอราคาที่ดีกว่าหรือมีคุณภาพที่ดีกว่า แต่รัฐมนตรีกลับมีการเดินหน้าต่อ อยากถามว่า เรื่องนี้มีเหตุผลอะไร 4) การประกาศการรับซื้อโดยไม่จำเป็นโดยอ้างเรื่องพลังงานสะอาด คำถาม คือ จำเป็นต้องใช้วิธีการรับซื้อจริงหรือไม่ ในเมื่อมีนโยบาย Direct PPA ที่ให้เอกชนที่อยากลงทุนในประเทศ หากอยากใช้พลังงานสะอาดสามารถทำสัญญารับซื้อจากผู้ผลิตรายย่อยได้โดยตรงอยู่แล้ว ทำไมต้องใช้วิธีการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน แถมซื้อแพงกว่าความเป็นจริง
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า จากข้อพิรุธทั้ง 4 ข้อ อยากให้รัฐมนตรีตอบว่า นี่คือกระบวนการเพื่อส่งผลให้เอกชนบางกลุ่มเข้าชนะการคัดเลือกหรือไม่ รัฐมนตรีรู้เห็นกระบวนการทั้งหมดนี้หรือไม่ มีความคิดที่จะหยุดยั้งกระบวนการการหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจในระบบไฟฟ้าของประเทศนี้หรือไม่ หรือถ้าเห็นด้วยกับการมีกลุ่มทุนบางกลุ่มมารับขายพลังงานไฟ้าที่แพงเกินจริงแบบนี้ให้กับรัฐ ตนก็อยากให้รัฐมนตรีตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า รัฐบาลนี้มีแนวนโยบายอย่างไรกับการจัดการปัญหาดังกล่าว
ด้านนายพีระพันธุ์ ได้ตอบคำถามว่า ปัญหาที่นายณัฐพงษ์ถามมานั้น ถ้าวันนี้ตนไม่ได้เป็น รมว.พลังงาน ทุกอย่างก็คงจะเดินหน้าไปหมดแล้ว แต่เพราะตนเป็นรัฐมนตรีก็เลยยังเดินหน้าไม่ได้ ปัญหานี้ต่อยอดมาจากการรับซื้อ 5,200 เมกกะวัตต์ เมื่อคราวที่แล้วที่มีปัญหา ซึ่งมีการดำเนินการไปตั้งแต่ก่อนตนเข้ามาเป็น รมว.พลังงานสมัยรัฐบาลเศรษฐา ในส่วนของ 3,600 เมกกะวัตต์ วันนี้ยังเดินการประมูลไม่ได้ เพราะติดการฟ้องร้องมาจากรอบ 5,200 เมกกะวัตต์ จนเมื่อตนมารับตำแหน่งและกำลังจะมีการเดินหน้า ก็มีประเด็นมาถึงตนว่า จะมีการกำหนดเงื่อนไขอย่างที่นายณัฐพงษ์ถามมา ซึ่งทั้งตนและปลัดกระทรวงพลังงานคิดว่า ไม่น่าถูกต้อง การกำหนดเช่นนี้ไม่เป็นการแข่งขันอย่างแท้จริงและอาจผิดกฎหมายด้วย ตนจึงไม่เห็นด้วย
นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีการทบทวนมติของ กพช. กันมาตลอดว่า ในส่วนของ 3,600 เมกะวัตต์ไม่ควรกำหนดลักษณะอย่างนั้น จนมีการประชุม กบง. ว่า กรณีนี้ไม่ควรกำหนดลักษณะเช่นนี้ หลังจากนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล การทำงานมีการขาดตอนไปช่วงหนึ่ง จนเมื่อตนได้เข้ามาทำงานเป็นรัฐมนตรีเต็มรูปแบบก็มีการตรวจสอบพบว่า มีความผิดพลาดในเรื่องของมติ มีการกำหนดรายละเอียดให้ก้อน 2,100 เมกกะวัตต์ ให้คนที่พลาดในครั้งที่แล้วมาติด ซึ่งตนยืนยันว่า ไม่ถูกต้อง มตินี้เป็นเรื่องที่ต้องรายงานให้ กพช. รับทราบก่อนให้เดินหน้า แต่ในช่วงที่รัฐบาลขาดตอนการทำงาน ข้าราชการประจำเองก็เดินหน้าทำงานต่อไปแล้ว เลยกลายเป็นมีกระบวนการที่ดำเนินงานในบางส่วนไปแล้ว ตนจึงขอเรียนว่า เป็นอย่างที่นายณัฐพงษ์พูดจริง แต่ตนเองก็ไม่เห็นด้วยและยังไม่เดินหน้าไปถึงขั้นดำเนินการ ตนจึงสั่งให้มีการทบทวนแล้วก่อนที่จะมีการตั้งกระทู้นี้
นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องไฟฟ้านั้นการดำเนินการโดยปกติจะมีแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) มีมติ กพช. ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและมีผู้กำกับดูแล คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กพพ.) ในส่วนของการดำเนินการประมูลทั้งหมดเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกพ. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ ดังนั้นทั้งกระทรวงพลังงานหรือกพช.จึงไม่มีส่วนก้าวล่วงในการทำงานได้ แต่เมื่อมีอะไรที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมรัฐบาลก็จะท้วงติงเข้าไป ที่นายณัฐพงษ์ถามมานั้นตนและกระทรวงพลังงานได้แจ้งไปแล้วว่า ไม่เห็นด้วยและขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง โชคดีที่ยังไม่ได้มีการดำเนินการอะไร แต่เพื่อให้ถูกต้องชัดเจนต้องเอากลับเข้าที่ประชุม กบง. แล้วรายงาน กพช. อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมการเรียกประชุม
ส่วนที่นายณัฐพงษ์กังวลว่า ค่าไฟส่วนนี้จะแพงขึ้น เท่าที่ตนได้สอบถามไปทาง กกพ. ราคาที่กำหนดจะแบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์กับส่วนที่เป็นพลังงานลม ส่วนจากพลังงานแสงอาทิตย์ราคาอยู่ที่ประมาณ 2.16 บาทต่อหน่วย ส่วนพลังงานลมเนื่องจากเทคโนโลยีในการผลิตแพงกว่า ค่าไฟรับซื้อจึงอยู่ที่ 3.10 บาทต่อหน่วย ซึ่งไม่เกินจากต้นทุนปัจจุบันของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เพราะฉะนั้นไม่ได้ทำให้ต้นทุนไฟฟ้าแพงขึ้น
นายพีระพันธุ์ยังตอบคำถามในเรื่องของการผลิตพลังงานทดแทนกับส่วนของ Direct PPA ว่า เป็นคนละเรื่องกัน เรื่องของ Direct PPA เป็นเรื่องของผู้ผลิตกับผู้ซื้อตกลงกันเอง แต่ในส่วนของการรับซื้อครั้งนี้จะเป็นการนำเข้าสู่ระบบหลักของ กฟผ. เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เป็นพลังงานสะอาดหรือ UGT สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องใช้ใบรับรองในการขายสินค้าต่างประเทศ วัตถุประสงค์การผลิตไฟฟ้าในส่วนนี้จึงเป็นคนละเรื่องกัน
สุดท้าย ในส่วนของ 2,600 เมกกะวัตต์ นายพีระพันธ์ุ ยืนยันว่า ต้องมีการประมูล แต่เมื่อเกิดข้อผิดพลาดก็ต้องแก่ไข โดนจะแก้ไขให้เสร็จสิ้นภายในในระยะ 1 เดือนข้างหน้า ส่วนตนเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อเห็นว่ามีข้อผิดพลาดก็จะมีการแก้ไข เปิดประมูลอย่างเป็นทางการให้ถูกต้อง และยืนยันว่า ไม่มีการล็อกสเปคเด็ดขาด