โฆษก รทสช.โต้ข้อกล่าวหา "สนธิญาณ"ยันสานต่อจิตวิญญาณ เจตนารมณ์ "พล.อ.ประยุทธ์"เดินหน้าแก้ไขปัญหาให้ประชาชน รักษาไว้ซึ่ง 3 สถาบันหลักของชาติ ซื่อสัตย์สุจริต ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน
เมื่อวันที่ 11 ต.ค.67 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี เขต 4 โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ออกมาตั้งคำถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติทรยศต่อจิตวิญญาณของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่ ว่า จากการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ในชั้นวุฒิสภานั้น ได้มีการแก้ไขในสาระสำคัญให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมีออกเสียงข้างมาก 2 ชั้น คือ ได้รับความเห็นชอบเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ และเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง จากข้อมูลการลงประชามติรัฐธรรมนูญล่าสุดมีผู้สิทธิเลือกตั้ง 50ล้านคน ดังนั้นหากจะได้รับความเห็นชอบจากการทำประชามติจะต้องได้รับเสียงเห็นชอบจากผู้มีสิทธิไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน ซึ่งเป็นไปได้ยากหรือแทบไม่ได้เลย เพราะในการลงประชามติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 หรือ รัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกง ที่ผ่านมา มีผู้เห็นชอบ 16.8ล้านคน จากยอดผู้มาใช้สิทธิ์ลงประชามติ 29.7ล้านคน เท่านั้น ซึ่งถ้าใช้หลักเกณฑ์ของวุฒิสภา จะต้องได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง นั่นคือ 25 ล้านเสียง จาก 50 ล้านเสียง จะเห็นว่าถ้าใช้หลักเกณฑ์วุฒิสภา รัฐธรรมนูญฉบับปี60ที่เรียกกันว่าฉบับปราบโกงก็ไม่ผ่านการเห็นชอบในการออกเสียงประชามติจากพี่น้องประชาชน ดังนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงใช้หลักเกณฑ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิคือ 29.7 ล้านเสียง ซึ่งคำนวนออกมาแล้วคือประมาณ 15 ล้านเสียงถึงจะได้รับการรับรอง โดยในครั้งนั้นมีผู้เห็นชอบ16ล้านเสียงจึงได้รัฐธรรมนูญฉบับปี60มาซึ่งก็เป็นหลักเกณฑ์เดิมที่ใช้รับรอง รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ดังนั้น การที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มีความเห็นให้ใช้เกณฑ์ตามร่างที่ผ่านการลงมติของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และจะขอเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการร่วมที่ตั้งขึ้นใหม่ที่พรรคส่งนายวิทยา แก้วภราดัยไปผลักดันประเด็นที่มีสาระสำคัญว่า จะต้องได้รับเสียงเห็นชอบมากกว่าการออกเสียงไม่ประสงค์ลงคะแนน และเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ จึงเป็นการยืนยันเจตนารมณ์เดิมของผู้มารับรองรัฐธรรมนูญในการออกเสียงประชามติในปี พ.ศ. 2560 อย่างชัดเจน หากแก้ไขตามมติของวุฒิสภาจะทำให้การลงประชามติให้เห็นชอบเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้ในเชิงปฏิบัติ และทำประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้ อาจถึงทางตันทางการเมือได้และอาจเกิดวิกฤติการเมืองในอนาคตได้อีกด้วย จึงขอยืนยันข้อเสนอของพรรครวมไทยสร้างชาติยังสอดคล้องกับการออกเสียงประชามติเมื่อครั้ง “ลงประชามติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พรรครวมไทยสร้างชาติ จะมีพฤติกรรมดังที่นายสนธิญาณได้กล่าวหาแต่อย่างใดและถือเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมกับพรรค และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ประกาศจุดยืนอย่างหนักแน่นและต่อเนื่อง ว่าจะต้องไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องไม่มีการแก้ไขในหมวดที่ 1 และ 2 รวมถึงต้องคงไว้ซึ่งการปราบปรามทุจริตอย่างเด็ดขาดเช่นเดิม ตนขอยืนยันว่าพรรครวมไทยสร้างชาติยังสานต่อจิตวิญญาณและเจตนารมณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน รักษาไว้ซึ่ง 3 สถาบันหลักของชาติ ซื่อสัตย์สุจริต และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างถึงที่สุด