ไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์บีบหัวใจ “ก้อย รัชวิน” เล่านาทีบีบหัวใจ เห็นลูกชักเกร็งเหมือนคนหมดสติ พร้อมขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ และตัวเองที่มีสติ
เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่บีบหัวใจคนเป็นแม่อย่าง “ก้อย รัชวิน” มากที่สุดเลยก็ว่าได้ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ “น้องทะเล” ลูกชายคนโต เกิดอาอหารชักเกร็งเหมือนคนหมดสติ จนต้องรีบนำตังส่งโรงพยาบาล ในขณะที่ “ตูน บอดี้สแลม” สามี ไม่ได้อยู่ข้างกาย เนื่องจากต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ต่างประเทศ
โดยล่าสุด (1 ต.ค. 2567) “ก้อย รัชวิน” ก็ได้ออกมาเปิดภาพพร้อมกับเล่านาทีสุดบีบหัวใจผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว ท่ามกลางเพื่อนพ้องน้องพี่คนบันเทิงและแฟนๆ ที่เข้ามาคอมเมนต์ส่งกำลังใจและเทคแคร์กันอย่างล้นหลาม
ซึ่งสาวก้อยก็ได้เล่าอย่างละเอียดเอาไว้ว่า... “ตอนแรกคิดว่าจะไม่บอกใคร เพราะกลัวทุกคนจะตกใจ แต่หลังจากที่ทุกคนได้อ่านข้อความของพี่ตูนแล้ว ก็มีหลายคนส่งข้อความมาหาก้อย ก้อยจึงเขียนโพสต์นี้เพื่อเก็บบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่บีบหัวใจแม่ที่สุดและไม่เคยคาดคิดว่าจะเจอ รวมถึงคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อแม่คุณแม่หลายๆคนที่มีลูกน้อยเหมือนกัน
บ่ายไปรับทะเลที่โรงเรียน คุณครูบอกว่าน้องตัวรุมๆนิดหน่อย แต่ยังร่าเริงตามปกติ ช่วงเย็นก้อยพาน้องทะเลกับเวลามาเดินเล่น ให้อาหารปลาที่สวน Eden Vallay น้องยังหัวเราะสนุกสนาน แล้วก้อยต้องเข้าไปในงาน event ของ Eden เลยให้พี่เลี้ยงพาน้องไปอาบน้ำทานข้าวระหว่างที่รอก้อย ที่บ้านพี่ก้อย เจ้าของสวน Eden ที่อยู่ไม่ไกลจากที่จัดงาน พอเสร็จงานก็เข้าไปรับน้องที่บ้าน เข้าไปไม่ถึง 2 นาที พี่เลี้ยงอุ้มน้องทะเลวิ่งเข้ามาหาก้อยด้วยสีหน้าตื่นตกใจเบอร์สิบ
“พี่ก้อยคะๆๆๆ ทะเลเป็นอะไรไม่รู้!?!”
ภาพที่ก้อยเห็นก็คือ น้องมีอาการชักเกร็ง ตาเหลือกบนเหมือนคนหมดสติ ไม่มีเวลาให้ตกใจ แม่รีบตั้งสติและงัดวิชาปฐมพยาบาลที่เคยเรียนมา ก้อยตะโกนเรียก “ทะเลๆ ได้ยินแม่มั้ย” พร้อมกับเอามือจะทำ CPR แต่ด้วยความที่ลูกตัวเล็ก กลัวว่าถ้าทำไม่ถูกจุดแล้วลูกจะเจ็บ จึงตัดสินใจผายปอดให้ลูกในทันที ด้วยสัญชาติญาณของแม่ที่ต้องการให้ลูกฟื้นคืนกลับมาให้เร็วที่สุด แต่เค้าก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
ปากน้องเริ่มเปลี่ยนสี และอาการดูไม่ดีแล้ว ก้อยรีบอุ้มลูกและพาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ตอนนั้นคือ รพ.ถลาง พอไปถึง ก้อยก็รีบไปยังห้องฉุกเฉิน รีบวิ่งเท้าเปล่าเข้าไป ทางเจ้าหน้าที่รีบช่วยกันเช็ดตัวให้น้อง จนน้องได้สติและเสียงร้องไห้ดังขึ้นมา … วินาทีนั้นแม่แทบจะหยุดหายใจ กลัวว่าลูกจะเป็นอะไร และไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนในชีวิต ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ในความรู้สึกของแม่ที่เห็นลูกหมดสติและเหมือนหยุดหายใจไปต่อหน้า มันช่างยาวนานจนแทบจะขาดใจ พอได้ยินเสียงลูกร้องดังออกมา มันจึงเหมือนยกภูเขาออกไปจากอก เพราะในที่สุดลูกก็กลับมาหาแม่
หลังจากนั้นรถพยาบาลก็มารับน้องย้ายจาก รพ. ถลางไปที่ รพ. กรุงเทพภูเก็ตอย่างปลอดภัย คุณหมอวินิจฉัยว่า น้องติดเชื้อในกระแสเลือด และมีอาการไข้ขึ้นสูงเฉียบพลันจนทำให้เกิดอาการชัก ซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นได้ในเด็กแรกเกิด-2ขวบ แต่ทะเลที่กำลังจะ3ขวบอีก ในอีก5วันข้างหน้า ก็ถือว่าแปลก แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ประเด็นคือก่อนหน้าที่น้องจะชักน้องไม่ได้ตัวร้อนจี๋หรือมีอาการใดๆที่ดูผิดปกติเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ได้แต่คิดว่า ถ้าก้อยมาถึงบ้านเพื่อนช้าไปกว่านี้…ถ้าก้อยไม่ได้มีพี่เล็ก(คนขับรถ) ที่ช่วยขับรถไปให้แบบในหนัง fast and furious … แล้วถ้าลูกไม่ฟื้นขึ้นมา… จะทำอย่างไร
เหตุการณ์นี้เหมือนเป็นบททดสอบความเป็นแม่ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับก้อย แม้ว่ากว่าจะผ่านด่านนี้มันไม่ง่ายเลยและการมี”สติ“ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ จึงอยากบอกพ่อแม่ทุกคนว่า หากลูกมีอาการชักจากไข้สูงห้ามเอาช้อนหรืออะไรยัดเข้าไปในปาก (หลายคนเข้าใจผิดในจุดนี้) แต่ให้ตะแคงตัวลูกและเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ตัวเย็นเร็วที่สุด และหากลูกยังไม่ฟื้นกลับมาให้รีบไปโรงพยาบาลทันที และก้อยได้ให้น้องทะเลทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง(EEG) เพื่อจะหาสาเหตุของอาการชักและจะได้มั่นใจว่าเค้าจะไม่มีโอกาสเป็นโรคลมชักในอนาคตซึ่งผลออกมาว่า คลื่นสมองของน้องทะเลนั้นปลอดภัยดีไม่มีอะไรน่ากังวล
ขอบคุณคุณหมอเกด รพ.กรุงเทพภูเก็ต ที่กำลังจะออกเวรแต่วนรถกลับมาเพื่อนั่งรถ ambulance มาช่วยทะเล และคุณหมอธนิตนันท์ แพทย์เฉพาะทางเรื่องการชักที่อยู่เวรวันนั้นพอดี ขอบคุณคุณหมอและพี่ๆ เจ้าหน้าที่ที่รพ.ถลางที่ช่วยทะเลไว้ทัน ขอบคุณพี่ก้อย พี่พอล น้องบิว น้องภู ครอบครัวภูเก็ตของก้อย ที่รีบออกจากงานมาช่วยก้อยที่โรงพยาบาล ขอบคุณพี่เล็ก ที่ขับรถตู้ให้ประหนึ่งขับมอเตอร์ไซด์วิน ขอบคุณพี่แฟง อภิชาตเพื่อนที่รีบบินจากกทม.ลงมาดูใจแม่ทะเล ขอบคุณพี่กิฟท์ พี่เก่ง Gymboree คุณฮาชิ น้องทุม พี่เกด รวมถึงทุกๆคนที่ส่งกำลังใจมาให้น้องทะเลนะคะ
และขอบคุณ “ตัวเอง” ที่มีสติที่สุด ในวันที่ต้องเจอกับเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิต โดยที่ก้อยต้องเผชิญกับเรื่องนี้โดยที่ไม่มีพี่ตูนอยู่ข้างๆ เพราะพี่ตูนเล่นคอนเสิร์ตอยู่ที่สวีเดน วันเกิดเหตุก้อยไม่สามารถเล่าดีเทลทั้งหมดให้พี่ตูนฟังได้ เพราะกลัวว่าเค้าจะไม่มีกะจิตกะใจทำงาน แต่พอเสร็จคอนเสิร์ตปุ๊ปพี่ตูนก็รีบเปลี่ยนไฟล์ทจากที่ต้องกลับวันอังคารดึกๆ ให้กลับมาถึงวันจันทร์ตอนเช้า เพื่อจะได้กลับมาหาลูกให้เร็วที่สุด… สุดท้ายจึงอยากขอบคุณโชคชะตาและใครบางคน ที่ทำให้ครอบครัวเรายังได้อยู่กันพร้อมหน้า และได้กลับมากอดกันอีกครั้ง…ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”
ขอบคุณอินสตาแกรม : rachwinwong