"จุลพันธ์" แจง ส.ว. มั่นใจปี 68 จัดเก็บรายได้ไม่พลาดเป้า หนี้สาธารณะยังเอาอยู่ ยันเดินหน้า "ดิจิทัลวอลเล็ต"
เมื่อวันที่ 9ก.ย.67 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ความเห็นชอบ
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมฯกรณีการขาดดุลงบประมาณ และการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงในช่วง 14 ปีที่ผ่านมาว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบเตรียมปรับปรุงแผนงานการจัดเก็บรายได้ให้มีประสิทธิภาพ คาดหวังว่าในอนาคตจะสามารถดึงคนเข้าสู่ระบบฐานภาษี เพื่อมีงบประมาณเพียงพอในการบริหารประเทศ เช่น ปี2567 จัดเก็บพลาดเป้า ของกรมสรรพสามิตหลายหมื่นล้านหลังมีนโยบายราคาพลังงาน แต่อีก1เดือนก่อนที่จะหมดปีงบประมาณมั่นใจว่าภาพรวมจะไม่พลาดเป้า และปี 2568 เชื่อมั่นด้วยประสิทธิภาพของกระทรวงการคลังในการดำเนินการจัดเก็บรายได้จะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย ส่วนการขาดดุลงบประมาณ ยืนยันว่าประเทศไทยที่กำลังพัฒนายังจำเป็นต้องทำงบประมาณแบบขาดดุลทางการคลังไปก่อนในระยะสั้นจนกว่าเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ และขยับเข้าสู่การทำงบประมาณแบบสมดุลย์ในระยะต่อไป โดยมีแผนการจัดทำงบประมาณให้ขาดดุลลดลงตั้งแต่ปี 2571 เหลือร้อยละ 3.1 และชี้แจงว่าการกู้เงิน หนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ที่เพียงพอ ซึ่งกรอบวินัยการเงินการคลังอยู่ที่ร้อยละ 70 โดยงบประมาณปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 63
รมช.คลัง กล่าวต่อว่า ขณะที่รายจ่ายประจำที่สูงขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลมีแผนลดกำลังพลและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยเหลือ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตใช้แอพทางรัฐ ที่จะสามารถให้บริการประชาชนได้หลายมิติ นอกจากทำดิจิทัลวอลเล็ตซึ่งในอนาคตสามารถลดกำลังพลที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละภาคส่วนตามลำดับ ซึ่งการปฏิรูประบบราชการก็เป็นแหล่งนโยบายของรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่จะแถลงต่อรัฐสภา
"ยืนยันว่าการแถลงนโยบายวันที่12ก.ย.นี้ จะได้พูดคุยในรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขอย้ำว่าโครงการนี้ยังอยู่ แต่รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนงบประมาณบางส่วนเพื่อไปช่วยในกลุ่มเปราะบาง และเป็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้าให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด และการโยกงบธนาคารรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ยังคงเป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง แต่การปรับเปลี่ยนบางส่วนเป็นความพร้อมใจของหน่วยงานเพื่อให้รัฐบาลสามารถนำเม็ดเงินไปทำนโยบายอื่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ บางส่วนก็จะเปลี่ยนแต่ในโครงการที่จะต้องทำโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลยังอยู่ และยังคงเดินหน้า" นายจุลพันธ์ กล่าว