“เชียร์” เหมือนจับฉลากมาเป็นนางเอก เปิดใจไม่เคยรู้ว่า "เบญจา คีตา ความรัก" ดังมากขนาดนั้น

2024-08-09 11:45:05

“เชียร์” เหมือนจับฉลากมาเป็นนางเอก เปิดใจไม่เคยรู้ว่า "เบญจา คีตา ความรัก" ดังมากขนาดนั้น

Advertisement

นี่คือผลงานแจ้งเกิดในฐานะนางเอกที่ชื่อ "เชียร์ ฑิฆัมพร" กราฟความดังของเธอที่เคยพุ่งถึงขีดสุดในฐานะนักแสดง แม้จะผ่านมา 21 ปีแล้ว แต่ก็ยังเป็นละครในความทรงจำ ที่เธอได้ถ่ายทอดความประทับใจดังกล่าวในรายการLevel up ออกอากาศทางช่องYoutube Thairath Online Originals



เชียร์เริ่มเส้นทางในวงการบันเทิง ผ่านการชักชวนจากโมเดลลิ่ง เข้าประกวดMiss Teen Thailand ในปี 2002 แทบไม่น่าเชื่อว่าการประกวดในครั้งนั้น เชียร์ ภาวนากับตัวเองให้ตกรอบการแข่งขันทุกรอบ เพราะรู้สึกว่าการประกวดไม่ใช่ตัวเอง ถึงขนาดต่อรองกับคุณแม่ บอกว่าเวทีมิสทีน จะเป็นเวทีสุดท้ายที่เธอจะลงประกวดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ปรากฎว่าตำแหน่งชนะเลิศในปีนั้น คือใบเบิกทางสำคัญที่ทำให้เธอได้ก้าวสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว และมีผลงานละครเรื่องแรก "เบญจา คีตา ความรัก"

"ตอนนั้นไม่เคยรู้เลยว่าเบญจา คีตา ความรัก ทำให้คนรู้จักเรามากขนาดนี้ เพราะว่าชีวิตของเชียร์ในตอนนั้น เป็นวิถีชีวิตที่ไม่เคยได้ออกไปไหนเลย เช้าไปโรงเรียน เย็นเข้ากอง ถ่ายถึงเช้า แล้วเราก็ไปโรงเรียนอีกรอบ ชีวิตจึงไม่เคยไปไหนเลย ตอนที่ละครออนแอร์ จนกระทั่งได้ไปขึ้น 7 สีคอนเสิร์ต เจอศิลปินเยอะมาก ทุกคนดังหมดเลย พอเราขึ้นเวทีปุ๊ป มีคนรู้จัก เสียงกรี๊ดคือดังมาก รู้สึกได้เลยว่ามันมีแรงที่อัดเข้ามา ตกใจมาก ก็เลยได้รู้ว่ามีคนที่เติบโตมากับละครเรื่องนี้เยอะมาก"




จากความสำเร็จในครั้งนั้น เชียร์ให้คำนิยามตัวเองว่าเป็นนางเอกเหมือนจับฉลากได้มา การทำงานแข่งกับเวลาในตอนนั้น ต้องแลกมาด้วยความเสียสละบางอย่างในชีวิตไป...



“เชียร์ได้รับโอกาสนั้นมาเรื่อยๆ ชอบที่ได้ทำงานในหลูบชีวิตแบบนี้ เป็นอยู่ประมาณ 10 ปี เหนื่อยแต่ก็มีความสุขมาก เรารู้สึกว่าสามารถอยู่กับมันได้ดี จนกระทั่งมีเรื่องเพื่อนเข้ามา เพื่อนไปเที่ยวบ้านไร่ที่ต่างจังหวัด แล้วไม่ได้ชวนเรา ก็กลับมาฉุกคิดว่าเพื่อนไม่คบเราแล้วเหรอ? ความรู้สึก ณ ตอนนั้นคือเสียใจมาก แต่สุดท้ายพอคุยกับเพื่อนแล้ว ก็ได้รับคำตอบว่า ก็เคยชวนแล้ว ชวนเป็น 10 รอบ เราไม่เคยว่างสักครั้ง เพื่อนก็เลยคิดว่าเราไม่ว่าง ก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็ต้องยอมรับ เพราะสิ่งที่ชีวิตมันพาเราไป เหมือนเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งคือสังคมของการทำงาน แล้วเราจำเป็นต้องทำมัน ก็เลยเกิดการเรียนรู้ว่าเราต้องสละบางอย่างออก นั่นคือชีวิตส่วนตัว เราไม่สามารถกอดทุกเรื่องไว้ได้





แต่การทำงานในวงการบันเทิง มันทำให้เชียร์ได้เจอพื้นที่หนึ่ง ที่ได้ทำอะไรมากกว่าวัยของเราที่จะทำได้ วงการบันเทิงคืออาชีพหนึ่งที่ได้เงินด้วย หล่อเลี้ยงคนในครอบครัวด้วย และสร้างมูลค่าทางใจให้คนอื่นด้วย มีเหตุการณ์หนึ่ง เชียร์ได้เจอแฟนคลับไม่ถึง 5 นาที เค้าร้องไห้ และเค้าขอบคุณ เค้าบอกว่าเค้าแย่มาเป็นอาทิตย์แล้ว วันนี้เค้าได้เจอเรา รู้สึกว่าชีวิตเค้ามีความหมาย และมีความสุขจังเลยคำพูดนั้นทำให้เราคิดว่างานที่เราทำสร้างมูลค่าด้านจิตใจด้วย ทำให้เรารู้สึกเคารพงานในวงการบันเทิง เราเคารพไปถึงคนหลังกล้อง ช่างหน้าช่างผม ทุกองค์ประกอบที่ทำให้เราออกไปสู่สายตาประชาชนได้อย่างดีที่สุด



เลเวลสุดท้ายของการสัมภาษณ์คือบทบาทนักธุรกิจของเชียร์ เจ้าตัวมองหาสิ่งที่มั่นคงกว่าอาชีพนักแสดง ซึ่งการทำธุรกิจส่วนตัวก็ตอบโจทย์ดังกล่าว แต่ไม่ว่าเชียร์จะสวมหมวกนักธุรกิจ นักแสดง หรือบทบาทผู้จัด สุดท้ายแล้วเชียร์ก็คือเชียร์ และคิดว่าไม่มีใครอยู่กับตัวเองได้ดีเท่ากับตัวเราเอง



ติดตามชมรายการ Level up ทางช่องYoutube Thairath Online Originals