ผญบ.งงลูกบ้านบุกมาหาถึงที่ชักปืนรัวยิงใส่ระยะประชิด กระโดดหลบรอดตายหวุดหวิด
เมื่อวันที่ 7 ส.ค.67 ร.ต.อ.ภาณุวัฒน์ มณีน้อย รองสารวัตร(สอบสวน)สภ.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ได้รับแจ้งเหตุยิงกัน ณ ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 6 เลขที่ 59 หมู่ที่ 6 ต.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี จุดรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.ปิยะวัฒน์ บัวขาว ผกก.สภ.ขุนทะเล พ.ต.ท.จรูญ รอดพันชู สว.สส.สภ.ขุนทะเล เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เจ้าหน้าที่ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านของนายจำนงค์ เพลินแก้ว หรือ "ผู้ใหญ่เขียว" ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 เจ้าของบ้าน บริเวณหน้าบ้านมีรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนด์เงิน ทะเบียน ผผ 1077 สุราษฎร์ธานีจอดอยู่ ที่ประตูด้านข้างมีรอยถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบขนาด จำนวน 1 นัด บริเวณพื้นที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนตกอยู่เกลื่อนพื้นจำนวนหลายนัด เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน นายจำนงค์ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้ขับรถเข้ามาจอดที่บริเวณหน้าบ้านขณะที่กำลังลงจากรถได้มีนายประภาส (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 66 ปี ซึ่งเป็นลูกบ้านและมีบ้านอยู่เยื้องกันประมาณ 30 เมตร ได้เดินเข้ามาในระยะประมาณ 3 เมตร แล้วชักปืนออกจากกระเป๋าคาดเอวแล้วรัวยิงใส่ใส่หลายนัดโดยไม่มีการพูดคุยกัน ตนจึงได้กระโดดหนีออกจากรถ แล้วชักปืนยิงสวนไปเพื่อป้องกันตัวด้วยเหมือนกัน
นายจำนงค์ กล่าวต่อว่า ส่วนสาเหตุตนก็งงเพราะตนและผู้ก่อเหตุก็ไม่คุยกัน แต่อาจจะเป็นไปได้ว่า เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนเคยมีปัญหากันเรื่องก่อไผ่ที่ปลูกในที่ดินของคู่กรณีได้สูงและมาพาดสายไฟฟ้าทำให้เกิดไฟฟ้าดับในหมู่บ้าน จึงได้ไปบอกให้ผู้ก่อเหตุทำการตัดแต่ง แต่สร้างความไม่พอใจกัน ก่อนวันเกิดเหตุกอไผ่เดิมได้พาดสายไฟฟ้าทำให้ไฟฟ้าดับอีก ในช่วงเช้าได้มีเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าเข้ามาทำการตัดแต่งกิ่งไม่ให้พาดสายไฟ จึงเป็นไปได้ว่าทางผู้ก่อเหตุอาจจะเข้าใจว่าตนเป็นคนสั่งให้มาตัด จริง ๆแล้วตนเองไม่ได้รู้เรื่องเลย ทั้งนี้อาจเกิดจากความเข้าใจผิด ซึ่งความคิดส่วนตัวที่รอดมาได้อาจเป็นเพราะแขวนเหรียญรัชกาลที่ 5 และพระสมเด็จติดตัวตลอด แต่ที่สำคัญคือตนสำนึกถึงบุญคุณพ่อแม่ผู้มีพระคุณมาโดยตลอด จึงทำให้รอดชีวิตมาได้
ด้าน พ.ต.อ.ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุผู้ก่อเหตุได้หลบหนีไป ซึ่งตนได้เรียกเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมวางแผน ติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบว่าหลบหนีไปที่ใด ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงต้องสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยจะเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป