กกต.รับรองผลการเลือก ส.ว.

2024-07-10 17:17:54

กกต.รับรองผลการเลือก  ส.ว.

Advertisement

กกต.รับรองผลการเลือก  ส.ว. พร้อมบัญชีสำรอง สอยร่วง 1 คน พบความผิดเรื่องคุณสมบัติ

เมื่อเวลา 15.40 น. วันที่ 10 ก.ค. 67  นายแสวง บุญมี เลขาธิการ  กกต. แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง  เรื่องการรับรองผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ( ส.ว. )  ว่า ตามมาตรา 40 พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ด้วยเงื่อนไขตามกฎหมายมาตรา 42 ระบุว่าหาก กกต.เห็นว่า การเลือกเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย กกต.จึงจะประกศรับรองผล ซึ่งจะดู 3 เงื่อนไขในพิจารณาว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.  หรือไม่ ซึ่งสำนักงาน กกต.ได้รวบรวมกลุ่มความผิดที่อาจจะนำมาพิจารณาเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการประกาศผลการเลือก ส.ว.  ครั้งนี้ คือ 1. คุณสมบัติลักษณะต้องห้าม หมายรวมถึงการสมัครลงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งด้วย 2. กระบวนการในการดำเนินการเลือก ในวันที่ 9 วันที่ 16 และวันที่ 26 มิ.ย. 3. ความไม่สุจริตและเที่ยงธรรม อันเกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งสังคมจะใช้กันว่าการจัดตั้ง บล็อกโหวต หรือฮั้ว กรณีคุณสมบัติและคุณสมบัติต้องห้ามมี 3 เรื่องคือมีผู้สมัครที่สนใจ มาสมัครช่วงเปิดรับสมัคร 5 วัน 48,117 คน ผอ.ระดับอำเภอได้ ตรวจสอบคุณสมบัติ และไม่รับสมัครไป 1,917 คน เมื่อรับสมัครไปแล้ว ก็ได้ลบชื่อก่อนการเลือกระดับอำเภออีก 526 คน ก่อนผ่านชั้นจังหวัดก็ได้ลบผู้มีสิทธิ์เลือกไปอีก 87 คน และผ่านมาระดับประเทศผอ.ระดับประเทศก็ลดไปอีก 5 คน รวมแล้วมีการตรวจสอบและคัดคนที่ไม่มีคุณสมบัติในลักษณะต้องห้ามออกไป 2,000 เกือบ 3,000 คน กกต. มีมติให้ใบส้มเรื่องคุณสมบัติตามมาตรา 20 วรรค 3 วรรค 4 ระงับสิทธิ์สมัครชั่วคราว จำนวน 89 ใบ รวมทั้งส่งให้ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งด้วย อีก 1 คน ตามมาตรา 60 เนื่องจากเข้าได้เข้าสู่กระบวนการเลือกแล้ว จึงเป็นผู้มีส่วนทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ส่วนระดับอำเภอที่ลบไป 500 กว่าคนไม่ได้ให้ใบส้มเพราะยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการเลือกระดับอำเภอ แต่จไปพิจาษณาว่ารู้หรือ ควรรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ์แต่ ยังไปสมัครรับเลือก ซึ่งถือเป็นคดีอาญา

นายแสวง กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เรื่องร้องเรียนข้างต้นคิดเป็น 65% หรือราว ๆ 600 กว่าเรื่อง จากเรื่องร้องเรียนทั้งหมด ที่มาเข้ามาจนถึงขณะนี้ประมาณ 800 กว่าเรื่องโดยเป็นทั้งความปรากฏ ผู้สมัครมาร้องเอง และที่ กกต.การลบชื่อออก ดังนั้นเหลืออยู่ราวๆ 200 เรื่อง ที่ต้องพิจารณา

ส่วนกรณีการสมัครไม่ตรงกลุ่ม ที่ถูกวิจารณ์ว่าคนแบบนี้ไปอยู่กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ได้อย่างไร สังคมอาจจะเข้าใจยังไม่ตรงมาก เพราะเวลาพูดถึงกลุ่มอาชีพ ซึ่งตามมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญ และคำว่ากลุ่มตามมาตรา 11 ของพ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญ ไม่มีกลุ่มอาชีพ แต่เป็น กลุ่มของด้าน ทั้ง 20 ด้าน ในแต่ละด้านจะมีอาชีพเป็นส่วนหนึ่งของคนประเภทหนึ่ง มีคน 6 ประเภท ที่สามารถเป็นผู้สมัครได้ ไม่ใช่แค่อาชีพอย่างเดียว 1. คือความรู้ในด้านนั้น 2. ความเชี่ยวชาญในด้านนั้น 3. อาชีพในด้านนั้น 4.ประสบการณ์ด้านนั้น 5.ลักษณะและประโยชน์ร่วมกัน และ 6. ทำงานหรือเคยทำงานร่วมกัน ซึ่งกฎหมายเปิดกว้างให้คนสมัครด้านใดด้านหนึ่งได้ และมีผู้รับรอง 1 คน ซึ่งเคลียร์แล้ว กกต. ตรวจสอบแล้ว

นายแสวง กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มความผิดที่ 2 คือการดำเนินการในวันเลือก คือวันที่ 9 วันที่ 16 และวันที่ 26 มิ.ย. มีสำนวนมาร้อง 3 สำนวน กกต.พิจารณาเสร็จแล้ว และมีสำนวนที่ไปร้องศาลฎีกา 18 คดี ตามมาตรา 44 ศาลฎีกาได้ยกคำร้องทุกคดี แล้ว และส่วนที่ 3 การเลือกไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ตอนนี้มีอยู่ 47 เรื่อง คือ เรื่องที่สังคมเรียกว่าการจัดตั้ง การฮั้ว การบล็อกโหวต ซึ่งสำนักงานกกตได้รวบรวมพยานหลักฐาน ได้มาพอสมควร ซึ่งลักษณะที่รวบรวมมาพบว่าเป็นขบวนกรที่ต้องกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มายืนยัน สำนักงานกกต.จึงได้ขอความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รวมแล้ว 23 นาย ซึ่งประสานงานกันตลอดประมาณ 1 สัปดาห์แล้ว โดยขอใช้เทคนิคอุปกรณ์มาตรวจสอบความเชื่อมโยง ของผู้สมัคร หรือคนอยู่เบื้องหลัง จะได้ถึงไหนอย่างไรเพื่อนำเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา เรื่องการกระทำที่อาจจะทำให้การเลือกไม่สุจริต

นายแสวง กล่าวอีกว่า  เมื่อดำเนินการมาถึงขั้นนี้ทั้ง 3 กลุ่มความผิด กระบวนการเลือกตั้ง 3 ระดับจบหมดแล้ว ไม่มีคดีค้างที่ศาล ถือว่าการเลือกเป็นไปโดยชอบ ในส่วนของความไม่สุจริต และเที่ยงธรรม เมื่อมีคำร้อง สำนักงานกกต.ได้รับเป็นสำนวนเอาไว้แล้วขณะนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานข้อมูลไว้แล้ว แต่ข้อมูล ณ วันนี้ยังไม่พอเพียง ที่จะบอกว่าเขากระทำความผิด สำนักงานต้องไปรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม และให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงตามที่กฎหมายกำหนด ในชั้นนี้จึงไม่สามารถบอกได้ว่าการเลือกเป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม และด้วยเหตุผลดังกล่าว กกต.จึงพิจารณาแล้วเห็นว่า กรเลือกสว. เป็ฯนไปด้วยความสุขริตที่ยงธรรม จึงมีมติ ประกาศผลการเลือก ส.ว.ของแต่ละกลุ่ม ทั้ง 20 กลุ่ม ลำดับที่ 1 ถึง 10 ของแต่ละกลุ่ม เป็น ส.ว. ที่สภา ส่วนลำดับที่ 11-15 ของแต่ละกลุ่มเป็นบัญชีสำรอง ยกเว้นกลุ่มที่ 18 ซึ่ง กกต. ได้ระงับสิทธิ์ชั่วคราว (ใบส้ม) ของผู้ได้รับเลือก 1 คน ซึ่งอยู่ในลำดับ ที่ 1-10 จึงต้องเลื่อนสำรองลำดับที่ 11 ขึ้นมาแทน ทำให้เหลือสำกลุ่มนี้แค่ 4 คน ดังนั้น กกต.รับรองครบ 200 คน และบัญชีสำรอง 99 คน เรียบร้อยเพื่อให้เปิดสภาได้

นายแสวง กล่าวว่า ส.ว. ทั้ง 200 คนให้มารับหนังสือรับรองการรับเลือกเป็น ส.ว. เพื่อเป็นหลักฐานในการรายงานตัวกับสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาตั้งแต่วันที่ 11-12 ก.ค.เวลา 8:30 น ถึง 16:30 น.ซึ่งเตรียมสถานที่รองรับเรียบร้อยแล้วที่ขั้น 2 สำนักงาน กกต.

ทั้งนี้ นายแสวง ยืนยันว่า การประกาศไปก่อนแล้วมาสอยทีหลัง เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 226 และ พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง ส.ว. มาตรา 62 ส่วนที่ได้ใบส้มไป 1 คน จนต้องเลื่อนสำรองมาแทน เพราะพบความผิดชัดเจนในเรื่องของคุณสมบัติ

เมื่อถามว่า การที่ กกต.ประกาศบัญชีสำรอง 99 คน จะขัดกับกฎหมายที่ให้ กกต.ต้องประกาศบัญชี ส.ว.200 คน และบัญชีสำรอง 100 คน หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ก็ทำไปแล้ว ซึ่งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 42 ไม่ได้เขียนกรณีดังกล่าวไว้ แต่ กกต.มาออกระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือก ส.ว.ฉบับที่ 3 ข้อ 154/1 ให้กกต.สามารถเลื่อนบัญชีสำรองขึ้นมาแทนได้

รายงานข่าวแจ้งว่า บุคคลที่ถูก กกต.ระงับสิทธิชั่วคราวหรือแจกใบส้มคือ น.ส.คอดียะฮ์ ทรงงาม ผู้ได้รับเลือกเป็น ส.ว. อ่างทอง ลำดับที่ 4 กลุ่ม 18 กลุ่มสื่อสารมวลชน โดยระบุในประวัติการทำงานว่า ประชาสัมพันธ์เสียงตามสายหมู่บ้าน เป็นประชาสัมพันธ์ อ.ไชโย อย่างไรก็ดีจากการตรวจสอบพบว่า น.ส.คอดียะฮ์ เป็นที่ปรึกษา นายก อบจ.อ่างทอง คือ ศาลฎีกาวางแนวเอาไว้ว่า การเป็นที่ปรึกษานายก อบจ.ถือเป็นผู้บริหารท้องถิ่น จึงถูกระงับสิทธิชั่วคราว ทำให้เลื่อนว่าที่ พ.ต.กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ ผู้ได้รับเลือกเป็น ส.ว. ลำดับที่ 11 ซึ่งอยู่ในบัญชีสำรองเลื่อนขึ้นมาอยู่ในบัญชีตัวจริงลำดับ 10 โดยว่าที่ พ.ต.กรพด อดีตประธานรุ่น 5 หลักสูตร พัฒนาสัมพันธ์เครือข่ายความมั่นคงระดับผู้บริหาร (พคบ.) ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มาแทน