"สมชาย"ลั่นไม่ได้มีเจตนายื้อเวลาอยู่ต่อ แจงตั้ง กมธ.วิสามัญตรวจสอบเลือก ส.ว. ถอดบทเรียน 3 ประเด็น
เมื่อวันที่ 8 ก.ค.67 เมื่อเวลา 13.20 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา คนที่1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติเรื่องขอเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาตรวจสอบการเลือกสมาชิกสมาชิกวุฒิสภา ตามที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา( ส.ว. ) เป็นผู้เสนอ พร้อมชี้แจงเหตุผลในการเสนอญัตติว่า ยืนยันว่า ส.ว. ชุดนี้ จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี ส.ว. ชุดใหม่ เรากำลังรอคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ตรวจสอบอย่างถูกต้อง สุจริต เที่ยงธรรม ก่อนประกาศรับรอง ตนยืนยันว่าไม่มีเจตนายื้อเวลา อยากอยู่ต่อเหมือนที่มีการกล่าวหาให้ร้ายกันในสังคม เราเพียงทำตามหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญให้สมศักด์ศรีก่อนส่งต่อให้ ส.ว. ชุดใหม่
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เหตุผลที่ตนเสนอญัตติขอให้ตั้ง กมธ.วิสามัญดังกล่าว เพื่อให้มีการถอดบทเรียนใน 3 ประเด็น 1.วัตถุประสงค์ของการเสนอญัตติ เนื่องจากพบปัญหาความไม่ชอบมาพากล ที่ตนเคยนำเสนอไปแล้วอาทิ ผู้สมัคร ส.ว.ตาม20กลุ่มอาชีพที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ สมัครไม่ตรงกับกลุ่มอาชีพที่กำหนด เนื่องจาก กกต.ไปออกประกาศขยายความต่อจากตำแหน่งที่ระบุตามกลุ่มอาชีพว่า ตำแหน่งหรืออาชีพอื่นที่ผู้สมัครยืนยันและมีผู้รับรอง จึงเป็นต้นเหตุของปัญหา ส่งผลให้ผู้สมัครที่มีอาชีพตรงกับกลุ่มอาชีพทั้ง20อาชีพจริงๆนั้นตกรอบ ถือเป็นสิ่งที่บิดเบี้ยวนอกจากนี้ยังมีการจัดเลี้ยงของ ส.ส.2 รายจากพรรคการเมืองหนึ่ง ในช่วงการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือก ส.ว. พบว่ามีผู้สมัครสว.ที่เป็นน้องสะใภ้ กับผู้สมัครสว.อื่นคนไปร่วมงานจัดเลี้ยง รวมถึงโพยก๊วนฮั้วเลือก ส.ว. และยังมีอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ด้วย เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องตรวจสอบ
2.ในประเด็นข้อกฎหมายต่างๆที่มีการร้องเรียน เช่น มีการลงคะแนนลับจริงหรือไม่ มีการบล็อกโหวตจริงหรือไม่ การออกระเบียบดังกล่าวมีผู้กระทำผิดบางประการที่อาจยังไม่ได้ตรวจสอบหรือไม่ โดยจะศึกษา และเป็นข้อเสนอในเชิงวิชาการเท่านั้น ไม่ไปก้าวล่วงการทำงานของ กกต. เราทุกคนเก็บของนานแล้ว คืนกุญแจคืนวัสดุหมดแล้ว แต่ต้องทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี ส.ว.ชุดใหม่ ทั้งนี้ ตนในฐานะที่เคยเป็นเลขานุการติดตามรัฐธรรมนูญปี60 ตลอดระยะเวลา 5 ปี และมีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือก ส.ว. ตนมีความเห็นในเชิงกฎหมายว่า การรับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลังทำไม่ได้ เนื่องจากมาตรา 107 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือก ส.ว. ไม่ได้ระบุไว้ ไม่เหมือนกับกฎหมายลูกของ ส.ส. ที่เปิดช่องให้รับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลังได้ ขณะเดียวการเตรียมสำรองรายชื่อ ส.ว.ไว้เพื่อเลื่อนลำดับ ในกรณีที่มีการสอยทีหลัง เป็นอำนาจของประธานวุฒิสภา ไม่ใช่อำนาจของ กกต. หาก กกต.ตรวจสอบแล้วเห็นว่าการเลือก ส.ว. ถูกต้องสุจริต เที่ยงธรรมแล้ว สามารถประกาศรับรองได้เลย เราก็ทำหน้าที่จนถึงวันนั้น วันรุ่งขึ้นก็พ้นไป
3.กมธ.วิสามัญฯ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่จะเชิญมาร่วมจาก 4 กมธ. ได้แก่ 1.กมธ.องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2.กมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และตำรวจ 3.กมธ.บริหาราชการแผ่นดิน4.กมธ.สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้จะเชิญบุคคลสำคัญภายนอกที่เคยเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2540 2550 2560 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือก ส.ว. อาทิ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีต กรธ. นายคมสัน โพธิ์คง นักกฎหมาย เป็นต้น จะมาร่วมเป็น กมธ. ทั้งนี้ หากเรามีโอกาสดำเนินการศึกษาได้ตามระยะเวลา 30 วัน เราจะมีข้อเสนอถอดบทเรียนไปยังคณะที่จะมีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ รวมถึงคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) และ ส.ว.ชุดใหม่ที่จะมารับหน้าที่ต่อเพื่อที่ได้ไปศึกษาว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างการเลือก ส.ว.ปี62 และปี67 ที่มีความแตกต่างกัน ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ถ้าเราได้รับความเห็นชอบในการตั้ง กมธ. เราจะทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ตรงไปตรงมา ผู้ร้อง หรือผู้สมัครที่มีปัญหา สามารถส่งเรื่องมายัง กมธ.วิสามัญได้ ผมยืนยันอีกครั้งว่าเป็นการทำหน้าที่ครบตามรัฐธรรมนูญ อย่างไม่มีเหตุจูงใจแอบแฝงแต่ประการใด