"ปานเทพ" ค้านนำช่อดอกกัญชากัญชงเป็นยาเสพติด

2024-07-06 16:15:53

"ปานเทพ" ค้านนำช่อดอกกัญชากัญชงเป็นยาเสพติด

Advertisement

 "ปานเทพ" ค้านนำช่อดอกกัญชา กัญชง เป็นยาเสพติด  สร้างภาระให้สถานพยาบาลที่จำหน่ายกัญชาทั่วประเทศ แนะทางออกตราเป็น พ.ร.บ. กัญชา กัญชง 

เมื่อวันที่ 6 ก.ค.67 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ต่อร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่จะนำดอกกัญชา และกัญชง กลับเป็นยาเสพติด ว่าคำแถลงเตือนครั้งสุดท้าย ประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้เหมาะกับการแก้ไขปัญหากัญชา กัญชง และจะสร้างปัญหาใหม่ที่ร้ายแรงกว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.67 ตนได้เป็น 1 ใน 2 คนผู้เป็นเสียงข้างน้อย  ในคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด โดยในที่ประชุมจำนวน 18 คนเสียงข้างมากได้เห็นชอบให้เสนอแนะประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้ช่อดอกกัญชา และช่อดอกกัญชงให้กลับไปเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ผมขอยืนยันว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ในที่ประชุมแล้วด้วย และไม่ได้แปลว่าผมเห็นด้วยกับการปล่อยเสรีกัญชา หรือกัญชง แต่ในทางตรงกันข้าม ตนเสนอให้ร่างเป็น พ.ร.บ.ในการควบคุมกัญชา และกัญชง เป็นการเฉพาะแทน และความเห็นที่ผมได้ให้ไปว่าการนำช่อดอกกัญชา และกัญชงกลับไปเป็นยาเสพติด จะเกิดปัญหาอย่างไรบ้างในอนาคตนั้น ได้อยู่ในบันทึกในรายงานการประชุมแล้ว แต่มีอยู่ 1 ประเด็นที่ ตนเห็นว่าสังคมไทยไม่ได้ตระหนักรับรู้ว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับปัจจุบัน ไม่ได้เหมาะกับการใช้เพื่อแก้ไขปัญหา กัญชาและกัญชงแล้ว

นายปานเทพ ระบุต่อว่า  ขอย้ำว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยมี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และประมวลกฎหมายยาเสพติด แต่ต่อมาราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่วันที่ 8 พ.ย.64 ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ได้มีการยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหลายฉบับให้มาอยู่รววมในฉบับเดียวคือ ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับปัจจุบัน แต่เนื่องจากในปีนั้น ได้เกิดสถานการณ์ที่มีผู้ใช้กัญชาใต้ดินอย่างมหาศาล โดยผลสำรวจของศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติดได้รายงานว่าผลการสำรวจในปี 2563-2564 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องเสี่ยงใช้กัญชาอย่างผิดกฎหมายเพราะเข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ และแพทย์ส่วนใหญ่ไม่จ่ายกัญชา โดยมีผู้ใช้กัญชานอกข้อบ่งใช้ในโรคที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขมากถึงร้อยละ 84 (ใช้อย่างผิดกฎหมาย) แต่มีผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นถึงดีขึ้นมากรวมร้อยละ 93 อีกทั้งยังลดและเลิกใช้ยาแผนปัจจุบัน ร้อยละ 58 แต่คนเหล่านี้ย่อมเสี่ยงเป็นอาชญากรอย่างไม่เป็นธรรม

นายปานเทพ  ระบุอีกว่า ด้วยเหตุผลนี้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับปัจจุบันใน มาตรา 29 จึงไม่ได้ระบุ ชื่อพืช  กัญชา หรือ กัญชง ให้อยู่ใน ”ตัวอย่าง“เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งแตกต่างจากพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และประมวลกฎหมายยาเสพติดให้โทษก่อนหน้านั้นทุกฉบับ ด้วยเพราะว่าต้องการ ”เปิดช่อง“ให้กัญชาและกัญชงสามารถถูกปลดล็อกออกจากยาเสพติดและมีกฎหมายควบคุมเฉพาะที่แตกต่างจากยาเสพติดอื่นๆได้ กระบวนการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดจึงเกิดขึ้นหลังจากนั้นอีกประมาณ 3-4 เดือน และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.65 เพราะในเวลานั้นมีผู้ป่วยใช้กัญชาเป็นผู้กระทำผิดต่อประมวลกฎหมายยาเสพติดจำนวนมาก แต่ก็ใช้กฎหมายชั่วคราวอื่นๆควบคุมไปพรางก่อน โดยหวังว่าร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ซึ่งควรจะถูกตราขึ้นโดยสภาผู้แทนราษฎรให้ได้โดยเร็ว ก็กลายเป็นเกมการเมือง จนทำให้ไม่มีกฎหมายควบคุมในระดับ พ.ร.บ.จนถึงวันนี้

นายปานเทพ ระบุว่า อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับนี้ ไม่ได้ออกมาเพื่อการใช้แก้ไชปัญหากัญชา และกัญชง ยื่งฝืนทำไปก็จะมีผู้ที่ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ สุขภาพ และเศรษฐกิจ เกษตรกร ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน จะต้องได้รับความเดือดร้อนยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน โดยจะขอยกตัวอย่าง 2 กรณี หากคณะกรรมการ ป.ป.ส. หรือรัฐบาล ยืนยันว่าจะนำช่อดอกกัญชา และช่อดอกกัญชงกลับไปเป็นยาเสพติด จะส่งผลทำให้ สถานพยาบาลที่จำหน่ายกัญชาอยู่แล้ว เช่น คลินิกกัญชา (รวมถึงคลินิกแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์) ที่จำหน่ายช่อดอกกัญชา ช่อดอกกัญชง หรือสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2 อยู่ในปัจจุบัน จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 40 และ 95 ของประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่บัญญัติว่าผู้ได้รับใบอนุญาตการจำหน่ายญชา กัญชงและสารสกัด จะต้องมีเภสัชกรประจำและตลอดเวลาทำการ  นอกจากจะทำให้สร้างภาระต่อสถานพยาบาลเหล่านี้แล้ว ยังอาจเข้าข่ายทำให้เกิดความขัดแย้งกับผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่เดิมเคยจ่ายยาสมุนไพรด้วยตัวเองได้ แต่กลับต้องอาศัยเภสัชกรในสถานพยาบาลแทน  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ มาตรา 1 ของประมวลกฎหมายยาเสพติด กำหนดว่าการผลิตได้มีความหมายรวมถึงการปลูด้วย แปลว่านอกจากเกษตรกรผู้ที่ปลูกเพื่อให้ได้ช่อดอกกัญชา หรือช่อดอกกัญชง แม้เพียง 1 ต้นขึ้นไปจะต้องขออนุญาตแล้ว จะต้องมีเภสัชกรประจำและตลอดเวลาทำการในแปลงเพาะปลูกกัญชา กัญชงทั่วประเทศอีกด้วย ตามมาตรา 40 และ 95 ของประมวลกฎหมายยาเสพติด เราจะแก้ปัญหาได้ดีขึ้นจริงหรือ

"ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผมจึงเห็นว่าร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เสนอให้นำช่อดอกกัญชา และช่อกัญชงกลับไปเป็นยาเสพติด นอกจากจะมีปัญหาเพราะไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ง่ายแล้ว หากมีส่วนที่จะบังคับใช้กฎหมายได้ก็กลับสร้างภาระให้กับสถานพยาบาลที่จำหน่ายกัญชาอยู่ทั่วประเทศ และยังสร้างภาระให้กับเกษตรกรรายย่อยอีกด้วย และจะส่งผลทำให้มีผู้ป่วยและเกษตรกรที่กระทำผิดกฎหมายเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น เพราะประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหากัญชา กัญชง ทางออกในเรื่องนี้จึงควรตราเป็น พ.ร.บ. กัญชา กัญชง เป็นการเฉพาะมากกว่า เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะออกแบบการใช้ประโยชน์ การห้ามใช้ และการคุ้มครองกลุ่มคนที่ไม่ได้ใช้กัญชาหรือไม่ควรใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่การออกแบบภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับนี้ที่จะสร้างปัญหามากกว่า"ฯายปานเทพ ระบุ