“น้ำหวาน พิมรา” เปิดใจทางเลือกระหว่าง “แม่” หรือ “แฟน” มันจบตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เลือก

2024-07-04 18:00:52

“น้ำหวาน พิมรา” เปิดใจทางเลือกระหว่าง “แม่” หรือ “แฟน” มันจบตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เลือก

Advertisement

รายการ Podcast น้องใหม่ “ขมคอ Story Podcast” ของพิธีกรอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง “เบ็นซ์-จิรายุ จันทรวงศ์” หรือที่รู้จักกันในนาม “เบ็นซ์ตุ๊ดย่อยข่าว” ที่เชิญแขกรับเชิญในวงการบันเทิงมาร่วมพูดคุยแชร์ประสบการณ์ชีวิตขมๆ แล้วผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาได้ยังไง

คืนนี้ อดีตนักร้องชื่อดัง “น้ำหวาน พิมรา เจริญภักดี” หรือ “น้ำหวาน ซาซ่า” จะมาเล่าเรื่องราวที่โลดแล่นในวงการนี้มานานกว่า 20 ปี เข้าวงการตั้งแต่อายุ 9 ขวบ จนมืชื่อเสียงโด่งดัง การเปิดใจของ “น้ำหวาน” เกิร์ลกรุ๊ป ไอดอลยุค 90 ที่มาแชร์เรื่องราวกับ รายการ ขมคอ story





เข้าวงการตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?
หวานเป็นศิลปินฝึกหัดที่แกรมมี่ ตั้งแต่ 9 ขวบ ฝั่งคุณแม่จะทำงาน วงการบันเทิง คุณตาเป็นผู้กำกับคุณน้าน้าใหม่เจริญปุระเป็นนักร้อง เลยให้เราไปสกรีนเทสต์ แต่คำว่าได้ มันต้องผ่านการเตรียมความพร้อมเยอะมาก



ศิลปินฝึกหัดไปทางสายนักร้องเลยใช่มั้ย จาก9 ขวบ นานมั้ย ถึงจะออกมาเป็นซาซ่า ?
อายุประมาณ 13 12 เริ่มอัดเสียง เราก็งงกับเรื่องราวในสิ่งที่เราต้องทำมากๆ อัลบั้มแรกที่ออก 12 ย่าง 13

เรารู้สึกยังไงบ้างกับทางแกรมมี่ที่จับพี่ๆมารวมกับเรา พี่พิม พี่แก้ว ?
คือตอนนั้นเราก็มองว่าเราจะเข้ากันได้มั้ย เพราะหวานเคยชินกับการคบเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่โชคดีที่แก้วโตกว่าปีนึง แต่เรียนชั้นเดียวกัน ก็เลยมีเรื่องคอมม่อนที่ทำให้เราคุยกัน พี่พิมโตกว่าหวานสี่ปี ใส่ชุดนักศึกษาสวยมาเลย หวานก็เลยรู้สึกว่าเอ้..ว่าเราจะเข้ากับเขาได้มั้ย เค้าจะเข้าใจเรามั้ย แรกแรกก็แน่นอนมันอยู่รวมกันก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน ทำความเข้าใจกันเยอะมาก กว่าที่จะมาลงล๊อกกัน

การเป็นศิลปินในยุคนั้น กว่าจะเดินทางมาถึงซาซ่า เค้าให้เวลาเราศึกษากัน ละลายพฤติกรรมกันนานมั้ย ?


กับพี่พิมไม่นาน เพราะว่าพี่พิมมาช่วงตอนอัดเสียงแล้ว มาหลังสุด ก่อนหน้านั้นเป็นน้องพิ้งกี้ ตอนนั้นซาซ่าวางเป็นพิ้งกี้ พิ้งกี้ถูกโยกไปอีกโปรเจ็คนึง ก็เลยกลายเป็นพี่พิมพ์เข้ามาแต่หวานกับแก้ว มีความคุ้นเคยกัน ในระดับนึงตอนนั้นอยู่แล้ว เป็นศิลปินฝึกหัดที่ยังหลงเหลืออยู่ คนอื่นเค้าไปหมดแล้ว บางคนก็ไปออกโปรเจ็คนั้นโปรเจ็คนี้ ก็เหลือไม่กี่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน พอรู้ว่ามาทำงานด้วยกันก็โอเค



วันแรกที่เรารู้ว่าคนที่สามไม่ใช่พิ้งกี้ เป็นยังไงบ้าง ?
เจอเขาครั้งแรกทำไมสวยจัง ใส่ชุดนักศึกษา รู้สึกเขินที่จะ พูดคุยด้วย ด้วยการที่ วัยเราต่างกันเยอะ ตอนนั้นเรา ม.2 ม.3

พี่พิมอยู่ปี1 วันแรกที่เราสัมผัสความดังของเรา จำได้ไหมว่ามันเป็นวันไหนที่เรารู้สึกว่า ฉันดังแล้วมีคนทักฉัน สถานที่ไหน ?
จำได้ค่ะมันคือที่สยาม แต่ก่อนจะมีร้านเทปชื่อร้านอินเมจิน วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่เราจะต้องออกจากโรงเรียนก่อนครึ่งวันเพื่อที่จะไปเตรียมตัว เพื่อที่จะขึ้นไลฟ์ คือ คอนเสิร์ตครั้งแรก ก็ยังพูดอยู่เลยว่าถ้าไม่มีใครมาดู ก็เลยชวนเพื่อนที่โรงเรียน เลิกเรียนแล้วมายืนเป็นหน้าม้าให้หน่อย คิดว่าน่าจะไม่มีคนมา สรุปก็เป็นวันแรกที่หวานกรี๊ด เค้ามาดูเราเหรอไม่มีหลายวง แต่มีป้ายไฟเล็กๆเขียนชื่อ ก็คิดว่าเป็นของเพื่อนเราหรือ ทีมงานเค้าคงเอามาให้ สรุป เพลงเราตอนเราขึ้นไป เสียงกรี๊ดแรกนึกแล้วยังขนลุก มันดีจริงจริงแล้วเราก็รู้สึกว่า อ๋อไอ้การขึ้นไปแล้วมีคนมากรี๊ดมันเป็นความรู้สึกอย่างนี้




แล้วคิดไหมว่าซาซ่าจะเดินทางมาได้ยาวนานหลายปีขนาดนั้น ?

มันก็มีช่วงที่ตก มันก็ไม่ได้เรียกว่าตกมันก็จะมีความดังอยู่ในเพลงแต่ละอัลบั้ม บางอัลบั้มที่มันก็เงียบ แต่มันก็โชคดีที่ว่า เพลงฮิตของแต่ละอันที่ช่วยพยุง ได้ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาถึงวันนี้

ตอนนั้นในวันที่เราเป็นซาซ่า มี ฤทธิ์เดชหรือ ความเลือกได้ในแบบคาแรกเตอร์ของเรา เรารู้สึกอึดอัดไหมเหน่งคาแรกเตอร์ที่เค้าเลือกให้เรา ? 

 เป็นคนรักสวยรักงามพื้นฐานอยู่แล้ว โรงเรียนให้ตัดผมบ๊อบตอนอยู่ ม.2 ม.3 ไม่มีสิทธิพิเศษอะไรทั้งนั้น 1 นิ้วจากติ่งหู วัดจากไม้บรรทัด ก็ต้องตัดผมตัดทรงอะไรก็ต้องซอยผิดระเบียบก็โดนตัดคะแนนไปรู้มั้ยว่าซอยครั้งแรกหวาดร้องไห้เลย

ตอนเป็นซาซ่าเรามีวีรกรรมแสบอะไรมั้ย ?
ด้วยความที่เราทำงานแต่เด็ก ในเรื่องของการเรียนรู้ต่อโลกมันไม่มีหรอก มันจะรู้ได้ยังไง9ขวบ10 11 ขวบ มันไม่รู้เรื่อง ต่อโลกใบนี้ รู้ว่าง่วงก็คือต้องนอน ลุงง่วงแล้วก็ฟุบลงตรงนั้นเลยในสมัยนั้น โดยที่ไม่ทำไม่น่ารักหรือวีนทีมงาน ก็บอกเลยไม่ได้รอว่าทีมงานเค้าเซย์เยสเซย์โน หรือบางทีทะเลาะกับเพื่อน ทำงานไม่ได้ อันนั้นคือตอนถ่ายMVอัลบั้มแรก เกิดการเขวี้ยงโทรศัพท์ลงพื้น ร้องไห้ทะเลาะกับเพื่อนในสาย ร้องไห้ทำงานไม่ได้เราเหมือนเป็นเด็กเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก โดยที่เราไม่มีกาลเทศะใดๆ เด็กมากและเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นใดๆบ้าง ในโลกของการทำงาน เราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเค้ายากลำบากขนาดไหน แล้วก็วุ่นวายไปหมด ก็เลยมีสายไปถึงคุณแม่



เป็นคนเดียวที่สามารถกำราบเราได้ ?

ใช่ซึ่งหวานเป็นคนค่อนข้างกลัวคุณแม่ด้วย คุณแม่ดุ ซึ่งวันนั้น เกิดขึ้นที่ ศรีราชาไปถ่ายMV เห็น รถแม่เลี้ยวเข้ามาหวาน หวานก็ขนลุกสู่ กองก็เบรก

แม่พูดว่ามานี่มา ตรงนี้มีเรื่องจะพูดด้วย เพราะตอนนั้นเพิ่งแผลงอิทธิฤทธิ์ไปและตอนนั้นยังเป็นซาซ่าเต็มตัว กำลังอยู่ในช่วงถ่ายMV คุณแม่ถามว่าจะเอายังไง หวานรู้ว่าหวานเป็นอย่างนี้ช่างไฟ ตากล้อง ทีมงาน สวัสดิการทุกคนผู้กำกับ เพื่อนร่วมงานหวานช่างแต่งหน้า เค้ามาตั้งแต่กี่โมง คิดว่าเค้ามาพร้อมหวานเหรอ หวานมาถึงหวานมาแค่แต่งหน้าแล้วทำในสิ่งที่หวานต้องทำ หวานทำให้เค้าเสียเวลา หวานไม่คิดเหรอว่าเค้าต้องคิดถึงที่บ้านเค้าเหนื่อยกว่าเรา

เรากลับบ้านเค้าต้องนั่งเก็บของ เค้ากลับยังไงหวานขึ้นรถกลับสบาย แต่เค้าต้องนั่งเบียดกันกลับ เค้าเดือดร้อนเค้าลำบากกว่าเราค่าตอบแทน เค้าก็ไม่ได้เยอะหวานทำให้เขาเสียเวลา มาทำให้คนอื่นเสียเวลามากๆหวานทำอย่างนี้กับคนอื่นได้ยังไงหวานเป็นคนยังไง แม่ทำหวานแบบนี้หวานก็เลยร้องไห้เออหวานไม่เคยเรื่องนี้เลย ไม่มี อยู่ในหัว หวานอึ้งหวานร้องไห้เลย มองไปรอบๆ เออว่ะ เค้าเหนื่อยกว่าเรา มากกว่าเรามาก แล้วหวานทำตัวแบบนี้หรอแม่มีทางเลือกให้หวาน2อย่าง คือหวานกับกับแม่ไม่ต้องทำแล้วดีกว่า หวานไม่เหมาะ หวานก็บอกว่าหวานฝึกมาตั้งนานแม่เลยถามว่านี่หวานฝึกแล้วหรอ ไม่ได้ฝึกเรื่องมารยาทต่างๆ แม่ว่า ต้องเอาเอาหวานไปฝึกใหม่ หวานต้องกลับไปเรียนแต่ถ้าหวานคิดจะทำต่อ ออกไปหวานต้องเปลี่ยนนะ จากวันนี้ไปตลอดชีวิต หวานเลยบอกแม่ว่าหวานจะเดินไปขอโทษ ทุกคนหวานทำให้เขาเสียเวลา หลังจากนั้นเราก็พยายามที่จะไม่เป็นคนแบบนั้น แต่ก็มีช่วงจังหวะบางแรกๆแหละ มันไม่มีใครหรอกที่เปิดสวิทช์แล้วเปลี่ยนได้เลย ถ้าอย่างนั้นคือโกหก บางทีทะเลาะกับเพื่อนเรารู้ตัวเราก็พยาม เดินไปทำอย่างอื่นทำอะไร มองคนอื่นรอบข้างให้มากๆ มันก็เลยติดนิสัยจนมาถึงปัจจุบันนี้



การทำโทษของคุณแม่ที่เรายังจำได้เลย ?

การทำโทษของคุณแม่ตอนเด็กคือก้านมะยม คุณแม่จะตีด้วยเหตุผลโดยการที่คุณแม่จะไม่เด็ดก้านมะยมเอง โดยให้พี่เป็นคนไปเด็ด โดย แม่จะถามก่อนว่าหวานผิดตรงไหน หวานทำอะไร เรื่องหวานขี่จักรยานไปแม่ไม่ให้ขี่จักรยาน ป้าหวานขี่ไม่แข็งกลับมาขาแหก ชนต้นเฟื่องฟ้า หยิบไก่มะยมมาตามที่หวานเห็นสมควร พอโตมาคุณพ่อคุณแม่พูดด้วยเหตุผลเราก็เข้าใจ พอเราโตแล้วมันก็โอเค

ช่วงเวลาผ่านมาในวัยผู้ใหญ่ มีความขมอะไรในชีวิต ที่มันรู้สึกว่าก้าวข้ามผ่านยากเหลือเกิน ?
เอาตรงๆหวานก็มีความขมที่คนดูและคนไม่รู้ อย่ามาแต่ถ้าเป็นความขม ถ้าความขม ทุกคนรู้ก็จะเป็น ความรักครั้งล่าสุด ที่จบไปที่เป็นข่าว วิธีก้าวข้ามผ่านคือหวานจะเป็นคน ปล่อยให้ตัวเองเสียใจจนสุด หวานจะร้องไห้หนักมาก กว่าจะเล่นmv ฟังเพลงเศร้าคลุมโปง นอนซมอยู่บนเตียงจมอยู่แบบนั้น ปล่อยให้ตัวเองจมไปถึงสุดๆ

จนสุดท้ายลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้วดูตัวเอง ทำไมเราผ่านไป2-3วัน ทำไมเราเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้ เราไม่เอาอะไรเลยเหรอเนี่ยทั้งทั้งที่คนอื่นก็ พยามอยากให้เราดีขึ้น เราก็ไม่ได้การและเราเลยลุกขึ้นมารีเซ็ท สภาพร่างกายตัวเองก่อน อาบน้ำสระผมให้เรียบร้อยเราต้องลุกแล้วเพราะเรายังมีงาน ต้องทำทั้งงานในวงการบันเทิงทั้งงาน การเป็นครูสอนดำน้ำ เรามีหลายสิ่งที่รอเรา เราอนุญาตให้ตัวเองจมได้2 3 วันเราต้องรีเฟซตัวเองก่อนซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก มันก็ช่วยภายนอกได้นิดหน่อยแต่ภายในก็ยังดีฟดาว เหมือนเดิม ตั้งสติคิด ทบทวนเพราะชีวิตเรา เป็นเหมือนกระดาษA4
นั่ง ดูว่าจุดขาว จุดเปื้อน อะไรมันเวตกันแล้วมากกว่ากัน เราเป็นมนุษย์เรามีสิทธิ์มีจุดเปื้อน ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เราเขียนลงไปมองรับความจริง ตามความเป็นจริงว่านี้เรา อันนี้เราทำไม่ดีแต่พอเวตกันแล้ว สมมุติ ด้านขาวมันเยอะกว่า สิ่งที่เราต้องทำต่อมาคือการให้ value กับส่วนที่เราทำดีอันนั้น เอามาแปะไว้หวานเขียนเลยนะเป็นข้อ ว่าสิ่งไหนที่เราทำ ดีในเรื่องนี้ แล้วสิ่งไหนที่เกิดเกิดขึ้นแล้วมันไม่ดี พอดูเสร็จปุ๊บเราให้ value ในสิ่ง ที่เราทำดีมาตลอด มันก็ทำให้เรารู้สึกฟูขึ้นมานิดนึง ตอนนั้นเราไม่รู้จักคำว่ารักตัวเอง เรารู้จักแต่การรักคนอื่น เรารู้สึกว่านี่เป็นก้าวแรกที่เราให้ value กับตัวเอง เรามีโอกาสทำดีอะไรมาบ้างแต่หนึ่งอยากที่ยากสำหรับหวานคือคนรอบตัวหวาน ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ เพื่อนผู้จัดการ ไม่เคยมีใครผ่านเรื่องแบบนี้ ไม่มีใครเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเค้าให้กำลังใจเราได้ เค้าเชียร์อัพเราได้ เราต้องมีต้นทุนในใจ ของเราที่เราดีขึ้น ติดตัวไปบ้าง ถ้าเรามัวแต่ไปศูนย์เลย ขอกำลังใจจากคนอื่นเค้าไม่เคยเจอแบบเรา เค้าเข้าใจใน ทุกเรื่องใน situation แต่เค้าไม่ได้เข้าใจ ใน feeling ที่เรากำลังก้าวข้ามผ่าน เราก็ก้าวข้ามผ่านความขมนั้นมาได้ หวาน ไม่เคยพูดที่ไหนหวานใช้เวลาในการฮึลใจ เดือน ครึ่ง จากเทคนิคนี้ แต่หวานจะไม่บอกตัวเองว่าไม่ร้องไห้ถ้าเมื่อไหร่หวานอย่าร้องไห้หวานก็ร้องมันเป็นการระบายอย่างนึง สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้ เพราะว่าเราเองก็ไม่อยากเสีย เวลา

เหตุการณ์ไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องเริ่มรักตัวเองละ ? 

เหตุการณ์นี้แหละ เรารู้สึกว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมา เราเป็นคนที่ รักคนอื่นมีแฟนเราก็รักแฟนมาก สูญเสีย ความเป็นตัวเอง อะไรก็ได้ต่อให้ เราไม่อยากทำเราไม่ชอบ เราพร้อมที่จะเปลี่ยน ตัวเรา

นั่นหมายความว่าความสุขของเราอยู่ที่เขา ?
ความสุขของเราอยู่ที่เขาตลอดเวลา บางทีที่เราไม่ชอบเราว่ามันไม่ได้เราก็แถไป เพียงแค่เราไม่อยากขึ้นชื่อว่าเลิกกับแฟน เราเลิกกับแฟนมันก็ แค่เราเลิกกัน มันก็จะกลายเป็นว่าคนรู้ไปทั่ว ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น อยากจะมีภาพที่มันสมบูรณ์ แต่สุดท้ายพอเรามานั่งมองตรงนี้ วันนี้เรารู้สึกว่าเราไม่ควรที่ทำแบบนั้น มันเป็นการกระทำที่ผิดเรารู้ รู้อยู่แล้วอายุขนาดนี้เรารู้ เพียงแค่เราแคร์ เกิดขึ้น รอบข้าง แคร์ความคิดคนอื่นมากกว่าสิ่ง ที่เราเป็นจริงๆ นั่นแหละคือ ถ้าเราเริ่มรู้สึกกลับมา ให้ความสำคัญกับตัวเองให้ value ตัวเอง ให้คุณค่ากับสิ่งที่เรารู้สึกจริงๆ เรารู้สึกยังไงเราจริงใจกับความรู้สึก ตัวเอง ก็เพิ่งเริ่มต้นเรื่องนี้ได้ไม่นาน มานี้ก็คือปีนี้แหละ 

ก็เริ่มรู้สึกว่าเราไม่จำเป็น จะต้องเอาความสุขไปแขวนอยู่กับใคร ?

เราเคยได้ยิน ประโยคนี้มาบ่อยมาก จากโค้ชคนนั้นคนนี้จากหนังสือ ต่างๆเรา อ่าน แต่เราไม่เคยเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ การที่เราจะต้องทำแบบนั้น แต่ณวันที่เราอ่านเราคิด คิดได้ได้สติ ก็จริงนะ เมื่อไหร่ถ้าเอาอะไรไปฝากไว้กับใคร ไม่ต้องอะไรหรอกไม่มีใครดูแลอะไรได้ดีดูแล ได้ดีเท่าเท่ากับตัวเราทำหรอก ใจเราก็เหมือนกันใครจะดูแลใจเรา ได้ดีเท่ากับตัวเรา



มุมมองคนนอก จากตามข่าว น้ำหวานคือคนกลาง ระหว่างแฟนกับแม่ นะโมเมนต์สถานการณ์นั้น มันเครียดมาก เรารับมือกับการเป็นคนกลางยังไง ?

ณวันนั้น มันรับมือแบบไม่มีสติ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เค้าเข้ากันได้ดี ทั้งสองออกบอกฝ่ายต่างเข้ากันได้ดี ไม่แน่ใจ ความที่เค้าเป็นคนอาจจะมีนิสัยที่คล้ายกัน มันก็เลยทำให้บางอย่างบางครั้งมุมมอง มันไม่ลงล็อกกัน แต่เค้าก็จะเคลียร์กันเอง มีอันนี้เค้าก็พูดกัน มันก็น่าจะออกมาดี เราก็เลยรู้สึกลำบากใจเป็นช่วงๆ เวลาที่เค้ามีนิดนึงต่อกัน แต่เค้าก็จะมีวิธีในการคุยกลับเข้ามาหากันกันคุณแม่รักอดีตแฟนหวานเหมือนลูกอดีตแฟนหวานก็รักคุณแม่เข้า กันได้ดีบอกทั้งต่อหน้าคุณแม่คุณพ่อหวานด้วย เราในฐานะคนกลางถ้าเค้าเคลียร์กันได้ด้วยดี ไม่ได้หนักใจเท่าไหร่ จนมาถึงช่วงท้ายๆ ที่รู้สึกหนักใจ ก่อนจบหนักใจ เพราะว่ามันพาดพิง ไปมั่วซั่วหมดแล้ว โดยบางทีบางอย่างเราไม่สามารถพูดได้ มันเกินกว่าจะเคลียร์แล้ว มันเหมือนมันไปกันใหญ่แล้ว นั่นคือช่วงที่หนักใจมาก ที่สุด
และ ณ วันหนึ่งที่เราจะต้องเลือก ระหว่างแฟนเราก็รัก แม่เราก็รัก ณโมเมนต์นั้นน่ะ