"ยุทธพร"แนะจับตา 3 คดีสำคัญสัมพันธ์กัน

2024-06-12 15:23:00

"ยุทธพร"แนะจับตา 3 คดีสำคัญสัมพันธ์กัน

Advertisement

"ยุทธพร"แนะจับตา 18 มิ.ย. 3 คดีสำคัญสัมพันธ์กัน อาจเกิดเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  เสนอยกเลิกทฤษฎี 3 ล้ม  

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.67 ที่รัฐสภา นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ว่า เดือน มิ.ย. มีหลายเรื่องที่มาบรรจบกันพอดี ไม่ว่าจะคดีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ถูกร้องอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ คดี112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจะเดินทางไปที่ศาลอาญาในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ หรือไม่ รวมทั้งคดียุบพรรคก้าวไกล ที่ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ด้วยสถานการณ์ที่มาบรรจบกันจึงทำให้เดือนมิ.ย. เกิดกระแสข่าวจำนวนมาก เช่น อาจเกิดรัฐประหาร ผนวกกับการเลือก สว.ที่กำลังดำเนินการ ตนคิดว่าคงไม่ถึงขั้นรัฐประหาร แต่ปฏิเสธไม่ได้ภายใต้สถานการณ์สังคมบริบททางการเมืองแบบประเทศไทย ที่ประชาธิปไตยยังไม่ตั้งมั่น ดังนั้นกระบวนการเกิดรัฐประหารจึงมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ตลอดอยู่แล้ว เพียงแต่จะมีพัฒนาการหรือรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยขนอาวุธ บุกยึดสถานที่สำคัญ ระยะหลังมีพัฒนาการรัฐประหารด้วยดอกไม้และรัฐประหารในห้องประชุม เรียกว่ามีพัฒนาการไม่น้อยกว่าพัฒนาการประชาธิปไตย

"ถามว่าสถานการณ์เหล่านี้มีโอกาสนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ายังมีโอกาส แต่ผมคิดว่าสุดท้ายการเปลี่ยนแปลงถึงขั้นล้มรัฐบาล ล้มพรรคก้าวไกล หรือล้มสว. คงไม่ถึงขนาดนั้น แม้ว่าตอนนี้จะมีทฤษฎี 3 ล้ม แต่ผมขอเสนอล้มที่ 4 คือขอให้คนที่คิดแบบนี้ยกเลิกความคิดนี้ เพื่อให้บ้านเมืองได้ไปต่อ เพราะถ้าล้มนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล หรือล้ม สว. สุดท้ายผลที่เกิดขึ้นคือความขัดแย้งทางการเมือง" นายยุทธพร กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองดุลอำนาจระหว่างพรรคเพื่อไทยกับทหารอย่างไร นายยุทธพร กล่าวว่า การรัฐประหารโดยใช้กำลังทหาร ณ วันนี้ บริบททางการเมืองและกระแสโลก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่รัฐประหารโดยใช้รูปแบบอื่นมีโอกาสเป็นไปได้ แต่หากถามว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างพลเรือนกับกองทัพจะเป็นคำตอบว่าจะมีรัฐประหารหรือไม่ เราก็เคยเห็นหลายยุคสิ่งที่เรียกว่า “ลับ ลวง พราง” เพราะฉะนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ประชาธิปไตยยังไม่ตั้งมั่น มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนอกระบบ

ต่อข้อถามว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบหรือไม่ แต่คนภายในพรรคเริ่มเคลื่อนไหว แสดงว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสถูกยุบพรรคใช่หรือไม่ นายยุทธพร กล่าวว่า มีความเสี่ยงสูง ที่จะถูกยุบในเชิงทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ในเชิงกฎหมายต้องบอกว่าเรื่องของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92(1) และ (2) ซึ่งถือว่าโคลนนิ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 เพราะฉะนั้นในคดีล้มล้างการปกครอง ซึ่งพรรคเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาแล้ว ในแง่ข้อกฎหมายพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ยาก ส่วนในแง่ข้อเท็จจริงคดีนี้ มาตรา 49 ศาลได้สืบข้อเท็จจริงต่างๆซึ่งปรากฎอยู่ในคำวินิจฉัยค่อนข้างละเอียด ฉะนั้น 9 ข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกลจึงเป็นสิ่งที่ต้องไปพิจารณาว่ามีน้ำหนักที่ศาลจะฟังขึ้นหรือไม่ เพราะ 9 ข้อส่วนใหญ่เป็นเรื่องข้อเท็จจริง

เมื่อถามว่า มองว่าสถานการณ์ตรงนี้จะทำให้ขั้วการเมืองเปลี่ยนไปหรือไม่ นายยุทธพร กล่าวว่า การเปลี่ยนขั้วการเมืองต้องไปดูความสำคัญในคดีของนายเศรษฐาด้วย ถ้าต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะทำให้ต้องเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ถ้าถึงตอนนั้นโอกาสที่จะสลับขั้ว ข้ามขั้ว และเกิดกรณียุบพรรคก้าวไกลในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน ก็เป็นไปได้ที่จะเห็นเรื่องการย้ายพรรค ซึ่งอาจนำไปสู่พรรคใหม่และอาจไปจับขั้ว ดังนั้นเดือนมิ.ย.นี้ ทั้ง 3 เรื่องนี้ จึงมีความสัมพันธ์กันหมด

เมื่อถามถึง กรณีนายทักษิณพาดพิงถึงคนในป่า  ไม่ใช่สัญญาณจะเปลี่ยนขั้วการเมืองใช่หรือไม่ นายยุทธพร กล่าวว่า เป็นการโต้ตอบของนายทักษิณที่เกิดขึ้นกับกรณีที่ 40 สว. ร้องศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบนายเศรษฐา ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา 40สว. เป็นสว.ที่เกิดจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าที่มา ที่ไปของแต่ละสว.มาอย่างไร ดังนั้นเมื่อมีกระแสข่าวเรื่องนี้ทางนายทักษิณก็ต้องออกมาโต้ตอบหรือสื่อสารให้สังคมเห็นว่า มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ อย่างไร แต่พอไปถามว่า คนในป่า คือใคร ก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่นายทักษิณเองยังไม่รู้ เป็นกระบวนการโต้ตอบและเปิดเกมเชิงรุก แต่ถามว่าจะถึงขั้นปรับบางพรรคออกจากรัฐบาลหรือไม่นั้น ตนคิดว่าถ้าปรับก็ไม่ใช่ทั้งพรรค เพราะพรรคดังกล่าวมีแกนนำบางคนใกล้ชิดสนิทสนมกับพรรคเพื่อไทยอยู่ และอาจดึงพรรคบางพรรคซึ่งอยู่ในฝ่ายค้านเข้ามาไม่ทั้งพรรคเช่นเดียวกัน เราจะได้เห็นปรากฎการณ์แปลกๆในการเมืองไทย คือร่วมรัฐบาลครึ่งพรรค และเป็นฝ่ายค้านครึ่งพรรค เรียกว่าเป็นรัฐบาลคนละครึ่ง ฝ่ายค้านคนละครึ่ง