ชื่นชม “น้องอ้วน” จูงมือพ่อตาบอดเร่ร้องเพลงหาเงินเลี้ยงครอบครัว

2018-04-03 11:20:58

ชื่นชม “น้องอ้วน” จูงมือพ่อตาบอดเร่ร้องเพลงหาเงินเลี้ยงครอบครัว

Advertisement

หนุ่มอิสลามลูก 8 คนประสบอุบัติเหตุจนตาบอดมากว่า 20 ปี ยึดอาชีพนวดแผนโบราณแต่รายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัวเปลี่ยนอาชีพมาเป็นวณิพก ขออาศัยอยู่บ้านพี่ชายใน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี แต่ไม่กล้าเสี่ยงภัยก่อการร้าย ออกเร่ร้องเพลงตามร้านอาหารในเมืองคอนแทน โดยมี "น้องอ้วน" ลูกชายวัย 9 ขวบคอยจูงมือเดิน

เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ที่ร้าน “นางฟ้ากุ้งกะทะ” ริมถนนกะโรม ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้มีเด็กชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 8-9 ขวบ นุ่งกางเกงกีฬาสีดำ สวมเสื้อยืดคอกลมสีแดงเลือดนกเดินจูงชายตาบอดเข้ามาในร้าน โดยมีลำโพงสำเร็จรูปขนาดเล็กและกล่องเหล็กขอรับบริจาคเงินแขวนคอชายตาบอดอยู่ด้วย จากนั้นชายตาบอดได้เปิดดนตรีเพลงลูกทุ่งก่อนที่ตัวเองจะร้องเพลงผ่านไมโครโฟนด้วยน้ำเสียงไพเราะระดับนักร้องอาชีพ ท่ามกลางความสนใจของแขกจำนวนมากที่นั่งรับประทานหมูกระทะ จากนั้นเด็กน้อยได้จูงมือชายตาบอดเดินไปตามโต๊ะต่าง ๆ เกือบทั่วร้านเพื่อขอรับบริจาคเงิน โดยแขกที่นั่งรับประทานอาหารจำนวนมากพากันควักเงินบริจาคใส่กล่องที่แขวนคอชายตาบอด รวมทั้งส่งเงินให้เด็กน้อยรับไปใส่กล่องพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณผู้ใจบุญที่บริจาคเงินช่วยเหลืออย่างน่าเอ็นดูสงสาร

ผู้สื่อข่าวจึงเข้าไปสอบถามทราบชื่อ ชายตาบอดคอนายอาแว สาแม หรือ “บังแว” อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/22 หมู่ 2 ต.มะกรูด อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ส่วนเด็กน้อยชื่อ ด.ช.จักรกฤษณ์ ดาราโชติ หรือ “น้องอ้วน” อายุ 9 ขวบ ลูกชายของนายอาแว ปัจจุบันเรียนหนังสือชั้น ป. 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน ต.มะกรูด อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งสองพ่อลูกจะเดินทางจาก จ.ปัตตานี มายัง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อร้องเพลงขอรับบริจาคเงินจากผู้ใจบุญตามร้านอาหารในตัวเมืองนครศรีธรรมราช มีรายได้คืนละประมาณ 300-500 บาท




นายอาแว สาแม กล่าวว่า ตนมีลูก 8 คนน้องอ้วน เป็นลูกคนที่ 5 ครอบครัวของตนมีฐานะยากจนเดิมอยู่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช โดยตนประกอบอาชีพขับรถกระบะบรรทุกไก่จนเมื่อปี 2539 หรือกว่า 20 ปีก่อนตนขับรถประสบอุบัติเหตุทำให้ตนได้รับบาดเจ็บสาหัส ประสาทตาขาดจนกลายเป็นผู้พิการตาบอดทั้งสองข้าง หลังจากออกจากโรงพยาบาลตนได้ไปฝึกอาชีพนวดแผนแผนไทยเพื่อนำมาประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัว แต่เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย จึงย้ายครอบครัวมาอยู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี โดยขออาศัยอยู่บ้านพี่ชายและตนก็ยังประกอบอาชีพนวดแผนโบราณ แต่ในปัจจุบันลูกค้าน้อยมาก ตนพอจะมีความสามารถด้านการร้องเพลงลูกทุ่งอยู่บ้าง จึงซื้อลำโพงเครื่องเสียงครบวงจรขนาดเล็กหัดร้องเพลงก่อนจะไปขึ้นทะเบียนโครงการพัฒนาศักยภาพนักร้องและนักดนตรีตาบอดออกเร่ร้องเพลงเพื่อขอรับบริจาคเงินจากผู้ใจบุญอย่างถูกต้องตามกฎหมายแทนการประกอบอาชีพนวดแผนไทย โดยมีน้องอ้วน บุตรชายวัย 9 ขวบเป็นผู้เดินจูงนำทางตนไปเร่ร้องเพลงตามร้านอาหารต่าง ๆ

“อย่างไรก็ตามการร้องเพลงขอรับบริจาคเงินจากผู้ใจบุญตามแหล่งชุมชน ร้านอาหารในตอนกลางคืนใน จ.ปัตตานีมีความเสี่ยงกับอันตรายจากการก่อเหตุความไม่สงบเรียบร้อย ตนและน้องอ้วนจึงไม่กล้าออกเร่ร้องเพลงตามร้านอาหารหรือแหล่งชุมชน จึงตัดสินใจเดินทางมาเร่ร้องเพลงขอรับบริจาคเงินจากผู้ใจบุญตามแหล่งชุมชนและร้านอาหารในตัวเมืองนครศรีธรรมราชแทน โดยจะมาขอพักกับเพื่อนเก่าที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เมื่อถึงช่วงหัวค่ำก็ให้เพื่อนขับรถ จยย.มาส่งในตัวเมือง และมารับกลับช่วงกลางดึกของทุกวัน ซึ่งตนจะเดินทางมาเดือนละ 2 -3 ครั้ง ๆ ละ 2-3 วัน แต่ในช่วงนี้น้องอ้วน บุตรชายปิดเทอม จึงมาเดินจูงนำทางตนเร่ร้องเพลงในตัวเมืองนครศรีธรรมราชครั้งละ 7 วันขึ้นไปก่อนจะนำเงินกลับไปเลี้ยงครอบครัวใน จ.ปัตตานี”



นายอาแว สาแม กล่าวอีกว่าแม้ชีวิตจะลำบากยากเข็ญสักเพียงใดตนก็ต้องสู้ชีวิตเพราะครอบครัวตน 10 ชีวิตตนจะต้องเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว ส่วนภรรยาก็ต้องคอยดูแลลูก ๆ ที่ยังเล็ก อีก 2-3 คน ตนเข้าใจดีว่าบางครั้งในการเดินเร่เข้าไปร้องเพลงในร้านอาหารเพื่อขอรับความเมตตาจากผู้ใจบุญอาจจะสร้างความรำคาญให้กับเจ้าของร้านหรือแขกบางคน ตนและน้องอ้วนต้องกราบขอโทษนะครับและตนจะพยายามรบกวนเวลาของทางร้านและแขกให้น้อยที่สุด โปรดเห็นใจและเมตตาสงสารให้ตนและน้องอ้วนได้ใช้พื้นที่หากินด้วยเถิดครับ นอกจากตนกับน้องอ้วนแล้ว อีก 8 ชีวิตที่บ้านก็รอคอยความหวังจากตนและน้องอ้วนอยู่เช่นกัน นายอาแว กล่าวอย่างน่าสงสารในที่สุด