"แพทองธาร"คาด ก.ม.สมรสเท่าเทียมบังคับใช้ปีนี้ หวังไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Pride ปี 2030
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 67 ที่ดิสคัฟเวอรี่พลาซ่า สยามดิสคัฟเวอรี่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน "The Celebration : Right to Love" ว่า มีความยินดีอย่างยิ่งที่ในปีนี้ประเทศไทยจะมีการจัดงาน Pride Month ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งสะท้อนว่า ประเทศไทยของเรายอมรับความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง Pride Month ยังถือเป็นงานเฉลิมฉลองความหลากหลายที่สำคัญ มีสีสัน ถือเป็นหนึ่งในอีเวนต์สำคัญระดับโลก ถือเป็นอีกหนึ่งเศรษฐกิจเทศกาล หรือ Festival economy ของไทย แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ การต่อสู้ให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้เวลา ใช้พลัง ใช้กำลังใจ จากคนหลายฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน รวมถึงพี่น้องสื่อมวลชน
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า พท.ยืนหยัดเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย และเราก็ยังคงเจตนารมณ์เดิมเอาไว้เช่นเดิม เพราะความรักเป็นเรื่องของคนสองคน การสมรสจึงควรเป็นของทุกคนเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะของเพศใดเพศหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2544 รัฐบาลไทยรักไทยโดยนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มีการเสนอแนวคิดให้ทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย แต่ในตอนนั้นทุกอย่างต้องยุติลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากภาคประชาชนมีเสียงต่อต้านรุนแรง และเมื่อเป็นรัฐบาลอีกครั้ง เราก็ยังคงผลักดันต่อ ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเมื่อปี 2556 มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตเข้าสภาฯ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายตามบริบทสากล และเป็นการทำงานร่วมกันกับภาคประชาชน แต่ก็ต้องยุติลงด้วยการรัฐประหารปี 2557
น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า จนมาถึงวันนี้ที่ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย สำหรับพรรคพท.มันใช้เวลาอย่างน้อย 23 ปี และ พ.ร.บ. นี้ผ่านในสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ จากพรรคพท. เราคาดว่าในปีนี้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมจะบังคับใช้ โดยภาครัฐมีหน้าที่แก้กฎหมายเพื่อพัฒนาประเทศ แต่ถ้าหากภาคประชาชน ภาคเอกชนไม่ร่วมสนับสนุน สิ่งต่างๆ ก็ไม่อาจเกิดขึ้น พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมนี้จึงเป็นผลงานของพวกเราทุกคน สำหรับงาน "The Celebration : Right to Love"ที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศของความหลากหลายทางเพศ ในนามของพรรคพท.ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงานนี้ให้เกิดขึ้น ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือของหลายภาคส่วนในครั้งนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชน จะแสดงถึงศักยภาพของประเทศไทยว่าเราพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพการจัดงาน World Pride ในปี 2030 ซึ่งจะสร้างความภาคภูมิใจ สร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างมากให้กับประเทศไทย ให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแห่งเทศกาลที่นักท่องเที่ยวสามารถมาได้ทุกเดือน