"ทวี" ยันไม่เคยรับใบสั่ง "ทักษิณ"

2024-03-25 21:20:48

"ทวี" ยันไม่เคยรับใบสั่ง "ทักษิณ"

Advertisement

 "ทวี" ยันไม่เคยรับใบสั่ง "ทักษิณ" ในสิ่งที่ขัดต่อกฎหมาย คุณธรรม  ยกระบบเรือนจำสมัยใหม่ไม่ได้เอาไว้แก้แค้น คุกไม่ได้มีไว้ขังคนเท่านั้น มีไว้ให้ออกด้วย

เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา (ส.ว.) วาระอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ชี้แจงกรณีที่ถูกอภิปรายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียมกัน ว่า ในการบริหารราชการที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำหน้าที่ตามหลักกฎหมายและหลักนิติธรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม ซึ่งเข้าใจดีระหว่างประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม และส่วนตัวเลือกที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และระหว่างบุญคุณกับการทำตามกฎหมายเลือกที่จะทำตามกฎหมาย ส่วนกฎหมายกับความถูกต้อง แม้อาจจะไม่ไปด้วยกันแต่ต้องแก้ไปด้วยกัน ส่วนระบบอุปถัมภ์และระบบคุณธรรม เลือกระบบคุณธรรม และยืนยันว่าในการทำหน้าที่ไม่เคยได้รับการสั่งการจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในสิ่งที่ขัดต่อกฎหมายและคุณธรรม และการกลับเข้ามารับโทษตามกระบวนการยุติธรรม วันที่ 22 ส.ค.66 ซึ่งขณะนั้นอยู่ในยุครัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วน รมว.ยุติธรรม คือ นายวิษณุ เครืองาม รวมถึง ข้าราชการประจำรองปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครยังเป็นชุดเดียวกัน โดย ตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ไม่ได้สั่งปรับเปลี่ยนใคร ซึ่งรู้สึกเสียใจที่ได้ยินข้อกล่าวหาดังกล่าว 

"ที่นายถวิล เปลี่ยนสี กล่าวหาว่า ผมทำลายกระบวนการยุติธรรม ท่านคิดหรือว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผมจะไปสั่งการท่านได้ ท่านนายกฯทักษิณ จะเข้ามาในประเทศ และต้องไปโรงพยาบาลทันที ท่านคิดหรือว่าผมจะไปสั่งการ หรือนายกฯเศรษฐาจะไปสั่งการนายวิษณุได้ ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ทราบว่า พรรคประชาชาติจะร่วมรัฐบาลหรือไม่ อยากให้ความเป็นธรรมสักนิดในการเก็บข้อเท็จจริง ผมว่าการทำลายระบบยุติธรรมคือการ ยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญ"นายทวี กล่าว

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ตนเข้ารับตำแหน่งรมว.ยุติธรรม ในวันที่ 11 ก.ย.66 หลังจากที่นายทักษิณเข้าไปรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมหยิบระเบียบและกฎหมายราชทัณฑ์มาชี้แจง ซึ่งได้พิจารณาและปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับนโยบายอาญาของประเทศ จากเดิมใช้ทฤษฎี แก้แค้น ทดแทน ข่มขวัญ ยับยั้ง แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นการใช้ทฤษฎีฟื้นฟู ซึ่งเมื่อมีการแก้ไขกฎหมายมาแล้วในราชการไม่ได้มีอำนาจแก้ไข ส่วนการกำหนดโทษเป็นอำนาจศาล แต่การบริหารโทษเป็นไปตามกฎหมายราชราชทัณฑ์ และปัจจุบันด้วยนักโทษล้นคุก กว่า 200,000 คน และได้พิจารณาว่าการไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ที่ชั้น 14 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่มีมาก่อนอยู่แล้ว และสาเหตุหนึ่งคือเรื่องของทางการแพทย์ลงพยาบาลราชทัณฑ์ยังไม่มีความพร้อมรองรับ อีกทั้งโรงพยาบาลก็ถือเป็นสถานที่คุมขังอื่นตามที่ระเบียบกำหนดไว้ และตามกฎหมายใหม่การคุมขังไม่ต้องอยู่ในเรือนจำ อดีตนายกฯทักษิณได้ถูกจำคุกแต่อยู่ในสถานที่คุมขังอื่น ซึ่งไม่ได้มีท่านคนเดียว ยังมีบุคคลอื่น จากตัวเลขที่อ้างอิง 4-5 หมื่นคน แต่กรณีที่เกิน 120 วัน ตัวเลขไม่มาก 

รมว.ยุติธรรม ชี้แจง เรื่องการพักโทษว่าราชทัณฑ์หรือ รมว.ยุติธรรม ไม่ได้มีอำนาจที่จะพักโทษใคร แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการพักโทษ ซึ่งมีการพิจารณาทุกเดือนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่มีมาก่อนแล้ว และกรณีของนายทักษิณนั้นทางผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข มีความเห็นว่าเป็นกรณีเข้าหลักเกณฑ์ผู้สูงอายุ และเหลือโทษไม่มากนัก ช่วยตัวเองได้ไม่ดีพอ ขณะเดียวกันผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เห็นด้วย และเห็นว่าโรงพยาบาลเป็นสถานที่ควบคุมเช่นกันตามกฎหมาย และชี้แจงว่าข้อมูลของผู้ป่วยเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งหากวุฒิสภาเห็นว่ากฎหมายมีปัญหาก็พร้อมที่จะแก้ไข ก่อนจะทิ้งท้ายว่าระบบการคิดของเรือนจำสมัยใหม่ ไม่ได้เอาไปแก้แค้น คุกไม่ได้มีไว้ขังคนเท่านั้น มีไว้ให้ออกด้วย แต่การจะออกจากเรือนจำต้องมีการพัฒนาพฤตินิสัย