"ก้าวไกล"ค้านร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมถอยหลังลงคลอง แก้ไขที่มาบอร์ดประกันสังคมจากเลือกตั้งเป็นแต่งตั้ง
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.67 ที่รัฐสภา นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย ส.ส. พรรคก้าวไกล แถลงคัดค้านการเสนอกฎหมายประกันสังคมซ่อนเนื้อร้ายทำลายการมีส่วนร่วมของผู้ประกันตนในการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม จากกรณีที่กระทรวงแรงงานจะเสนอร่าง พ.ร.บ. ประกันสังคมเข้าที่ประชุม ครม. ว่า พ.ร.บ.ดังกล่าว มีการแก้ไขจากฉบับเดิมหลายมาตรา สิ่งสำคัญ ที่ตนในฐานะ ส.ส.สัดส่วนเครือข่ายผู้ใช้แรงงานพรรคก้าวไกล และ ส.ส.ทุกท่านขอคัดค้าน พวกเราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการแก้ไขที่มาของคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายผู้ประกันตนและนายจ้าง หรือบอร์ดประกันสังคม โดยให้เปลี่ยนจากเดิมที่เป็นแบบเลือกตั้งไปเป็นแบบแต่งตั้ง
นายเซีย กล่าวอีกว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่ได้ร่วมกับพี่น้องแรงงานในการติดตามทวงถามต่อ รมว.แรงงาน สำนักงานประกันสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้องหลายต่อหลายครั้ง เมื่อตนได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. เข้าสภา ก็ได้อภิปรายติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดนายบุญส่ง ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 66 ว่า สำนักงานประกันสังคมจะจัดให้มีการเลือกตั้งโดยตรงแบบ 1 ผู้ประกันตน 1 สิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เลขาธิการสำนักานประกันสังคมชี้แจงแล้ว ข่าวเรื่องการเลือกตั้งก็เงียบหายไปอีก สำนักงานประกันสังคมไม่เคยสื่อสารเรื่องความคืบหน้าใดๆ ให้ผู้ประกันตนได้รับทราบอีกเลย จนถึงช่วงต้นเดือน ต.ค. 66 ที่สำนักงานประกันสังคมประกาศให้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง เริ่มลงทะเบียนภายในวันที่ 12-31 ต.ค. 66 มิฉะนั้น จะหมดสิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ไปโดยปริยาย
นายเซีย กล่าวอีกว่า ระหว่างนั้นมีผู้ประกันตนน้อยคนที่รับรู้เรื่องการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม หรือขั้นตอนการลงทะเบียนตามที่สำนักงานประกันสังคมได้กำหนดไว้ ส่งผลให้หลายหน่วยงานตั้งคำถามต่อประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์ของสำนักงานประกันสังคม รวมไปถึงผลลัพธ์ที่ทำให้มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพียงประมาณ 10% จากผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด ซึ่งเท่ากับว่าผู้ประกันตนส่วนใหญ่หลายล้านคนจะเสียสิทธิ์ของตนในการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้สำนักงานประกันสังคมได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนถึงวันที่ 10 พ.ย. 66 ก่อนจะจัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 66
นายเซีย กล่าวด้วยว่า แต่เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 66 การเลือกตั้งสำนักงานประกันสังคมได้ประกาศผลการอย่างไม่เป็นทางการ หลังจากนั้นข่าวก็เงียบหายไปอีกเช่นเคย จนกระทั่งประกาศรับรองในวันที่ 23 ม.ค. 67 ผลกลับปรากฏว่า ผู้ที่ได้คะแนนอันดับที่ 7 ไม่ใช่คนเดิมตามประกาศแรก จึงทำให้มีคำถามมากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผลคะแนนการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ประชาชนทั่วไปสามารถมองเห็นความไม่ชอบมาพากลหลายประการ ทั้งกระบวนการประชาสัมพันธ์จัดการเลือกตั้ง กติกาที่กีดกันผู้ประกันตนที่เป็นแรงงานข้ามชาติออกจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้เลือกตั้ง หรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง การรับรองคะแนนที่ลำช้าไปอย่างต่ำ 2 เดือน และผลการเลือกตั้งทางการ ที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนตัวกรรมการไป 1 คน
นายเซีย กล่าวต่อว่า ร่างพ.ร.บ.ประกันสังคม ที่กระทรวงแรงงานจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม. มีเนื้อหาของร่างกฎหมายเหมือนว่าประกันสังคมต้องการจะย้อนเวลาตามหายุค คสช. กลับไปล้าหลังกว่าเดิม ดังที่ระบุไว้ใน มาตรา ‘หลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน’ ส่วนกรณีที่นายบุญส่ง ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนโดยอ้างเหตุผลว่า ใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้ง เกือบ 100 ล้านบาท แต่คนมาใช้สิทธิ์ไม่ถึงล้านคน จากผู้ประกันตน 24 ล้านคน ผู้ที่มีสิทธิ์ 10 ล้านกว่าคน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ได้สรุปบทเรียนการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ ว่าเกิดจากอะไร การประชาสัมพันธ์น้อยไปหรือไม่ การลงทะเบียนผ่านเว็บไชต์ประกันสังคมมีปัญหาจริงหรือไม่ การเดินทางไปหน่วยเลือกตั้งที่อยู่ห่างไกลร่วมร้อยกิโลเมตร ทำให้ผู้ประกันตนไม่สามารถไปใช้สิทธิ์ได้จริงใช่หรือไม่ มิหนำซ้ำ หน่วยเลือกตั้งเหล่านี้หลายหน่วย ก็ไม่รับรองผู้พิการด้านต่างๆ อีกด้วยหรือไม่ ปัญหาอุปสรรคต่างๆ เป็นอย่างไร ควรที่จะนำไปปรับปรุงแก้ไขให้การเลือกตั้งในครั้งหน้าดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ทำไมถึงกลับมาแก้ไขกฎหมายให้ถอยหลังลงคลองเช่นนี้ หรือที่ผ่านมากระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม ไม่เคยคิดอยากให้มีการเลือกตั้งในรูปแบบ 1 สิทธิ์ 1 เสียง มีใครได้ประโยชน์อะไร จากการแต่งตั้งบอร์ดประกันสังคมหรือไม่
“วันนี้ในเมื่อเรามีกฎกติกาที่ก้าวหน้ามาไกลแล้ว ทำไมถึงได้มีความพยายามดึงถอยหลังกลับไปอีก ผมและคณะจึงขอคัดค้านในประเด็นดังกล่าว รวมถึงขอเชิญชวนสมาชิกคณะรัฐมนตรีทุกท่าน มาร่วมคัดค้านกับเราด้วย เพราะเราต้องการให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยน้อยลง ดังนั้น ในการเลือกตั้งขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของผู้ใช้แรงงาน ของคนทำงาน 99 % เราจึงสมควรปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ใช่มัวหวาดระแวงการเลือกตั้งเยี่ยงรัฐบาลเผด็จการ” นายเซีย กล่าว