"วราวุธ" เผย พม. เข้าดูแลจิตใจทั้ง 2 ครอบครัวแทงดับใน รร. เตรียมหารือ คกก.คุ้มครองเด็กเรื่องเพิ่มโทษเยาวชนก่อคดี
เมื่อวันที่ 30 ม.ค.67 นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยถึงกรณีเด็กนักเรียนชาย ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในพื้นที่เขตสวนหลวง กทม. ก่อเหตุทำร้ายร่างกายจนทำให้มีเด็กอีกคนเสียชีวิต 1 ราย นั้น รายงานความคืบหน้าล่าสุด เด็กที่ก่อเหตุไม่ได้อยู่ในบัญชีว่าเป็นเด็กพิเศษ ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนตามปกติ ไม่ใช่เป็นกรณีพิเศษแต่อย่างใด ทั้งนี้ พม. ที่ผ่านมา 24 ชั่วโมง เราได้ทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานคร มีการส่งนักจิตวิทยา รวมถึงเจ้าหน้าที่กรมสุขภาพจิตร่วมทำงาน และได้มีการพูดคุยกับผู้ปกครองของน้องผู้ก่อเหตุและผู้ที่ถูกกระทำ ซึ่งทั้งสองครอบครัวนั้นกำลังเยียวยาทางด้านสภาพจิตใจ และมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเยียวยาตลอดเมื่อวานนี้ ส่วนรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น คงต้องเป็นในส่วนของการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ด้วยเงื่อนไขตาม ป.วิอาญา จะต้องมีเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ของ พม. เข้าไปร่วมในกระบวนการสืบสวนทุกขั้นตอนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน
นายวราวุธ กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ พม. เร่งดำเนินการตั้งแต่ต้นปีหรือตั้งแต่ตนเข้ามารับงานในเดือน ก.ย.66 จนถึงวันนี้ เราเห็นหลายข่าวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความรุนแรงของเด็กและเยาวชนที่ก่อความรุนแรงมากขึ้น จึงเป็นเหตุว่าวันนี้เราเน้นเรื่องความสัมพันธ์ภายในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง ความใกล้ชิดของพ่อแม่และลูกนั้น เป็นสายใยสำคัญในการป้องกันเหตุต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือภายนอกโรงเรียน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นในครอบครัวหรือในสถานที่ต่างๆ นั้น เราสามารถป้องกันได้ด้วยความใกล้ชิดและความเอาใจใส่ของคุณพ่อคุณแม่ที่มีต่อลูก การพูดคุยกัน การถามสารทุกข์สุกดิบ วันนี้ ถูกแกล้งไหม วันนี้มีเหตุการณ์อะไรบ้าง รู้สึกอย่างไร ไปโรงเรียนแล้วกลับมามีอาการซึมหรืออย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณที่บอกว่าน้องแต่ละคนมีความรู้สึกอย่างไร
นายวราวุธ กล่าวด้วยว่า สำหรับประเด็นที่มีบางฝ่ายเสนอให้แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำผิดของเด็ก เพราะถูกมองว่ามีอัตราโทษน้อยเกินไป ทราบว่ามีหลายฝ่ายที่เสนอเข้ามา ซึ่งในวันพฤหัสบดีนี้ (1 ก.พ. 67) จะมีการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย ว่าถ้ามีการลดอายุของเด็กตามที่หลายฝ่ายให้ข้อสังเกตนั้น จะสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่อย่างไร หรือจะทำให้เด็กที่ก่อเหตุนั้นมีอายุน้อยลงไปอีก คงจะต้องฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย แล้วหาหนทางแก้ไขที่ดีที่สุด เพราะหน้าที่ของเราคือไม่ได้ต้องการที่จะลงโทษเด็ก แต่เราจะต้องปกป้องเด็กๆ ไม่ให้เจอสถานการณ์ต่างๆ จนทำให้ออกมามีพฤติกรรมตามที่เป็นข่าว
นายวราวุธ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เมื่อถามถึงการแก้ปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนนั้น คงต้องฝากคุณครูและผู้บริหารสถานศึกษา เพราะว่าการบูลลี่กัน บางครั้งไม่ได้แสดงออกทางวาจาและทางกายภาพเหมือนเมื่อก่อน วันนี้มีการบูลลี่กันผ่านทางไซเบอร์และโซเชียลมีเดียต่างๆ และวันนี้ คงต้องฝากทางผู้ปกครองในขณะอยู่ที่บ้าน และคุณครู รวมถึงผู้บริหารสถานศึกษาให้คอยสอดส่องถึงพฤติกรรมต่างๆ ของเด็กและเยาวชน เพราะว่าเราต้องตามให้ทันเทคโนโลยีต่างๆ และแพลตฟอร์มต่างๆ วันนี้ เรามีทั้ง TikTok Facebook Instagram การบูลลี่เกิดขึ้นได้กับทุกแพลตฟอร์ม ไม่ใช่เป็นการกระทำทางร่างกายอีกต่อไป แต่เป็นการกระทำทางด้านจิตใจ ซึ่งบางครั้งจะก่อให้เกิดความรุนแรงในท้ายที่สุด