"ลุงพล"ร้องไห้น้อมรับคำพิพากษาศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 20 ปีคดี "น้องชมพู่"
จากกรณีศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดฟังคำพิพากษาในคดีพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายไชย์พล วิภา หรือ "ลุงพล" และ ภรรยา คือ น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือ "ป้าแต๋น" เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 กรณีการเสียชีวิตของ "น้องชมพู่" อายุ 3 ขวบ หายออกจากบ้านพักที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 63 ต่อมาพบศพ "น้องชมพู่" วันที่ 14 พ.ค. 63 บริเวณภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านพักประมาณ 5 กิโลเมตร ลักษณะไม่สวมเสื้อ โดยศาลจังหวัดมุกดาหารพิพากษาว่า "ลุงพล" มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 และ 317 วรรคแรก กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี และ ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาปราศจากเหตุอันควร จำคุก 10 ปี และยกฟ้อง "ป้าแต๋น" ต่อมาศาลให้ประกันตัว "ลุงพล" ด้วยหลักทรัพย์ 5 แสนบาทตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.66 ที่ โรงแรมริเวอร์ฟอร์น จ.มุกดาหาร นายไชย์พล วิภา หรือ"ลุงพล" และ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ "ป้าแต๋น" พร้อมด้วย นายสุรชัย ชินชัย ทีมทนายความ แถลงข่าวหลังจาหได้ยื่นหลักทรัพย์ 5 แสนบาท ต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร เพื่อขอประกันตัว
"ลุงพล" กล่าวว่า สำหรับลุงเองน้อมรับคำตัดสินของศาลชั้นต้น ลุงก็ได้รับคำสั่งศาลออกมาเรียบร้อย ต่อไปก็คงเป็นหน้าที่ของทีมทนายจะอธิบายต่อสื่อมวลชนได้รับทราบต่อไป ขอบพระคุณครับ เรื่องการอ่านคำแถลงลุงฟังไม่ทันเพราะเยอะมาก คร่่าว ๆ พอทราบ แต่อธิบายไม่หมด วันนี้ก็ต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี และ FC ทุกคน (พูดไม่ออกจะต้องไห้)
ด้าน "ป้าแต่น" กล่าวว่า ขอบคุณเอฟซีทุกท่านที่ให้กำลังใจ เราน้อมรับคำตัดสิน และพร้อมต่อสู้ชั้นอุทธรณ์ต่อไป เชื่อว่าทุกคนยังคงให้กำลังใจลุงพลป้าแต๋นต่อไป จากนี้ก็เป็นเรื่องของทนายความที่จะดำเนินการ
นายสุรชัย ชินชัย ทีมทนายความ กล่าวว่า ศาลเชื่อว่าน้องชมพู่ไม่มีทางขึ้นภูเหล็กไฟได้ด้วยตัวเอง ด้วยรายงานการสืบสวนขอพนักงานสอบสวน รวมทั้งพยานบุคคลที่มาเบิกความว่าเด็กในวัยนั้นเคลื่อนไหวร่างกายได้วันละ 6 ชั่วโมงเท่านั้น โดยสรุปศาลไม่เชื่อว่าสามารถขึ้นภูเหล็กไฟได้ ก็มาสู่ว่าใครพาไป ตามรายงานพนักงานสอบสวนระบุว่า คนที่จะเข้าหาผู้ตายได้ต้องเป็นเครือญาติเท่านั้น มีทั้งหมด 14 คน โดยมี "ลุงพล" คนเดียว มีข้อพิรุธ ว่าในช่วงเวลา 09.11 – 09.49 น. ของวันที่ 11 พ.ค.63 ลุงพลไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในทางต่อสู้เราได้นำพยานบุคคลมาหักล้าง ส่วนเส้นผม 1 เส้นที่พบในรถยนต์ เป็นกลุ่มเส้นผมที่พบอยู่ข้างศพของน้องชมพู่ โดยได้เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์หลักฐาน ท่านเลยมีดุลพินิจฟังได้ว่า “ไม่มีคนอื่นพาไป นอกจากลุงพลคนเดียว" วันนี้จึงมีคำพิพากษาใน 2 ข้อหา คือ กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดา โดยศาลท่านมองว่าลุงพลไม่มีเจตนาฆ่าเด็ก ทำให้ลุงพลถูกตัดสินจำคุก 2 ข้อหา รวมโทษ 20 ปี ก็เป็นที่สิ้นสุดว่าใครพาเด็กไปแม้จะไม่มีประจักษ์พยานแต่ดุลพินิจของท่านฟังว่าเป็นจำเลยที่ 1 ส่วนค่าสินไหมทดแทนท่านให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ 1.5 แสนบาท จากที่เรียก 3 แสนบาท ส่วนค่าขาดรายได้ในการอุปการะเลี้ยงดู ทางฝ่ายโจทก์เรียก 5 ล้านบาท จากการคำนวญหากเด็กมีชีวิตอยู่ จะได้รายได้ต่อปี ปีละ 60,000 บาท ดังนั้นศาลให้จ่ายเป็นเงิน 1,020,000 บาท จากนี้คณะทนายความจะเขียนคำอุทธรณ์ยื่นต่อศาลภายใน 30 วันนับจากวันนี้ ( 20 ธ.ค.66 ) โดยศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะเป็นผู้พิจารณา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี ซึ่งคำพิพากษาก็อาจจะเป็นไปได้ทั้งบวกและลบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างแถลงข่าวลุงพลได้ร้องไห้จนต้องนำทิชชู่มาเช็ดน้ำตาด้วย