"คำนูณ"ไม่เห็นด้วยแก้มาตรา 13 พ.ร.บ.ประชามติ บอกไม่มีต้นแบบชี้ว่าเป็นเดดล็อกแก้ รธน.ไม่ผ่าน
เมื่อวันที่ 21 พ.ย.66 นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยแสดงความเห็นต่อแนวคิดการแก้ไขพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 13 เพื่อปลดล็อกหลักเกณฑ์การผ่านประชามติที่กำหนดให้ใช้เสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง ในส่วนของผู้ออกมาใช้สิทธิและผลการออกเสียงเห็นชอบตอนหนึ่ง ว่า ตนไม่เห็นด้วยเพราะเงื่อนไขที่ใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น และถูกมองว่ามีปัญหาว่าจะทำให้การทำประชามติเรื่องต่างๆ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่สำเร็จ ทั้งที่เกณฑ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น จึงไม่มีตัวแบบใดๆให้พิจารณา อีกทั้งในขั้นตอนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเมื่อ 2 ปี เนื้อหา มาตรา 13 แม้มีการอภิปรายแต่ไม่มีประเด็นใดขัดแย้ง ทั้งนี้ร่างพ.ร.บ.ประชามมติ เสนอต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 63 ผ่านวาระแรก วาระสอง และวาระสามด้วยเสียงท่วมท้น ไม่มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่15 ก.ย.64 สุดท้ายต้องรอดูรัฐบาลจะเสนอร่างแก้ไขกฎหมายประชามติหรือไม่ ถ้าเสนอ จะแก้อย่างไร ยกเลิกเงื่อนไขเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น ด้วยเหตุผลว่าอย่างไร
นายคำนูณ ระบุด้วยว่า การทำประชามติจะเกิดขึ้นได้ก็เฉพาะในกรณีที่มีความสำคัญมากเฉพาะตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เพราะเป็นการสอบถามประชาชนโดยตรง ให้ประชาชนร่วมในกระบวนการตัดสินใจโดยตรง ไม่ใช่เพียงแค่ให้ผู้แทนราษฎรตัดสินใจเท่านั้น อาจจะกล่าวได้ว่าเสมือนเป็นการใช้ประชาธิปไตยทางตรงมาเสริมระบบประชาธิปไตยโดยผู้แทน โดยหลักการแล้วจึงจำเป็นต้องได้เสียงข้างมากจริง ๆ ของประชาชน
“รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 166 รวมทั้ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ปี 2564 มีพัฒนาการและความก้าวหน้ามาก สำคัญที่สุดคือให้การประชามติมีผลผูกพันรัฐบาลที่จะต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่แค่ให้เป็นเสมือนการให้คำปรึกษาเหมือนที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ เท่านั้น ต่อมาคือให้ที่มาของการริเริ่มทำประชามติกว้างขวางขึ้น รัฐสภาเสนอได้ ประชาชนเข้าชื่อกันเสนอได้ โดยร่างกฎหมายประชามติ คณะรัฐมนตรีเสนอต่อรัฐสภาฐานะร่างกฎหมายปฏิรูปประเทศ ต้องใช้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาพิจารณา” นายคำนูณ ระบุ