7 ข้อเท็จจริงหลังกำแพงที่อยากให้สังคมรับรู้

2023-11-01 21:43:59

7 ข้อเท็จจริงหลังกำแพงที่อยากให้สังคมรับรู้

Advertisement

7 ข้อเท็จจริงข้อมูลหลังกำแพงที่อยากให้สังคมรับรู้

เรื่องที่ 1 : สถานการณ์ความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำประเทศไทย

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศจำนวน 143 แห่ง แบ่งออกเป็น การบริหารราชการส่วนกลาง ได้แก่ เรือนจำกลาง 33 แห่ง เรือนจำพิเศษ 4 แห่ง ทัณฑสถาน 24 แห่ง สถานกักกัน 1 แห่ง สถานกักขัง 5 แห่ง และการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่ เรือนจำจังหวัด 50 แห่ง เรือนจำอำเภอ 26 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2566) โดยสถิติการรับตัวผู้ต้องขังตลอดปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 191,700 คน ขณะที่ปล่อยตัวออกจำนวน 177,482 คน กรมราชทัณฑ์จึงมีผู้ต้องขังสะสมในแต่ละปีจำนวนกว่าสองหมื่นคน (สถิติกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมราชทัณฑ์)

สำหรับความจุมาตรฐานของเรือนจำทั่วประเทศ กรมราชทัณฑ์ ใช้มาตรฐานอัตราความจุผู้ต้องขัง 1.6 ตรม. ต่อ ผู้ต้องขัง 1 คน ขณะนี้ มีพื้นที่นอนรวม 381,930.82 ตรม. สามารถรองรับผู้ต้องขังได้จำนวน 238,580 คน แบ่งเป็นชาย 204,846 คน หญิง 33,744 คน

ข้อมูลจำนวนผู้ต้องขังในปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 272,490 คน แบ่งเป็น

-ชาย 239,795 คน

-หญิง 32,695 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2566)

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าปัจจุบัน กรมราชทัณฑ์มีจำนวนผู้ต้องขังชายเกินอัตราความจุประมาณ 30,000 คน (ที่มา : กองทัณฑวิทยา)

หากพิจารณาอัตราส่วนของเจ้าหน้าที่ต่อผู้ต้องขัง ตามหลักมาตรฐานสากล (UNOPS Technical guidance for prison planning) ได้กำหนดอัตราส่วนระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังที่เหมาะสม คือ เจ้าหน้าที่ 1 คน ต่อ ผู้ต้องขัง 5 คน กรมราชทัณฑ์จะต้องมีอัตรากำลังเจ้าหน้าที่กว่า 60,000 คน แต่อัตรากำลังของข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ ณ เรือนจำ/ทัณฑสถานของประเทศไทยในปัจจุบันมีจำนวน 13,000 คน ทำให้เจ้าหน้าที่มีไม่เพียงพอ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานทั้งด้านการควบคุมดูแล และแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

กรมราชทัณฑ์ ถือเป็นหน่วยงานปลายน้ำที่มิอาจปฏิเสธการรับตัวผู้กระทำผิดไว้ในการควบคุมดูแล แต่ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงกลุ่มคนที่ไม่ควรใช้โทษจำคุกเป็นทางออก ตามหลักอาชญาวิทยา การกระทำผิดที่กฎหมายกำหนดว่าเป็นความผิด (Mala Prohibita) เช่น พรบ.จราจร หรือ ผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบางที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการกระทำผิดซ้ำ หลายประเทศใช้วิธีการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังโดยใช้ชุมชนเป็นหลัก (Community-based Corrections) เพราะตระหนักดีว่า การใช้โทษจำคุกจะเป็นตราบาปต่อผู้ต้องขังที่ถูกตัดสินจำคุก และไม่ได้เกิดผลดีต่อสังคม ในระยะยาว ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุด คือการลดจำนวนผู้ต้องขังขาเข้า และระบายผู้ต้องขังขาออก เพื่อแก้ปัญหานักโทษล้นคุกซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการควบคุม และแก้ไขผู้ต้องขังเป็นไปในทิศทางที่ ดีขึ้นและสามารถบรรลุเป้าหมายในการคืนคนดีมีคุณค่าสู่สังคมได้อย่างแท้จริง 

เรื่องที่ 2 : สถานการณ์สุขภาพผู้ต้องขังและการดูแลผู้พิการ เจ็บป่วย สูงอายุ

“อโรคยา ปรมา ลาภา” เป็นพุทธพจน์ประโยคหนึ่งในภาษาบาลี แปลความหมายได้ว่า การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นสิ่งที่ทุกคนทุกเพศทุกวัยล้วนต้องการ ไม่เว้นแต่ผู้ต้องขังที่ใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงก็เช่นเดียวกัน ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยได้คือการสร้างเสริมป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพให้ลดน้อยลง โดยเฉพาะในผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ต้องขังพิการ เจ็บป่วย หรือสูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องให้การดูแลและเฝ้าระวังในเรื่องสุขภาพมากกว่ากลุ่มผู้ต้องขังทั่วไป

จากจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมดสองแสนกว่าคน (ข้อมูล ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๖) กรมราชทัณฑ์ มีจำนวนผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย

ผู้ต้องขังสูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป รวม ๖,๑๙๖ คน เป็นชาย ๕,๒๑๐ คน หญิง ๙๘๖ คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี อยู่จำนวน 1,158 คน (ชาย 998 คน หญิง 160 คน) หรือเกือบ 20% จากประชากรผู้ต้องขังสูงอายุทั้งหมด โดยผู้ต้องขังชาย อายุมากที่สุด 94 ปี ผู้ต้องขังหญิงอายุมากที่สุด 87 ปี

ผู้ต้องขังพิการ (มีบัตรผู้พิการ) จำนวน 3,770 คน เป็นชาย 3,396 คน หญิง 374 คน

ผู้ต้องขังป่วยติดเตียง จำนวน 131 คน เป็นชาย 121 คน หญิง 10 คน

ผู้ต้องขังโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis) หรือผู้ต้องขังที่บำบัดทดแทนไตด้วยการล้างไตทางช่องท้อง (continuous ambulatory peritoneal dialysis: CAPD) จำนวน 139 คน

ผู้ต้องขังป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะแพร่กระจายหรือลุกลาม จำนวน 123 คน

ผู้ต้องขังป่วยด้วยโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์สมองพิการ จำนวน 27 คน

ผู้ต้องขังภูมิคุ้มกันบกพร่องระยะที่มีโรคแทรกซ้อนแสดงอาการร้ายแรง จำนวน 84 คน

ผู้ต้องขังหญิงตั้งครรภ์ จำนวน 137 คน และเด็กติดมารดา 71 คน

กรมราชทัณฑ์ ได้กำหนดแนวทางการดูแลผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง ตั้งแต่แรกรับตัว โดยมีการคัดกรองผู้ต้องขังทุกรายทั้งในเรื่องโรคติดต่อ และโรคเรื้อรัง ซึ่งหากมีโรคประจำตัวเรื้อรังจะได้รับการตรวจรักษาและรับประทานยาต่อเนื่อง รวมทั้งกำหนดให้มีการแยกพื้นที่การควบคุมผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง ให้อยู่ในพื้นที่

ที่เจ้าหน้าที่สามารถให้การดูแลและเฝ้าระวังโรคได้อย่างใกล้ชิด มีการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงเจ็บป่วยรุนแรง และเสียชีวิต ผู้ต้องขังพิการ จะได้รับกายอุปกรณ์ และจัดให้มีพื้นที่ที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ต้องขังหญิงตั้งครรภ์ เมื่อถูกควบคุมตัวจะได้รับการฝากครรภ์ และตรวจสุขภาพเป็นระยะจนถึงวันคลอด รวมทั้งมีการส่งเสริมเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สำหรับทารกจะได้รับการตรวจสุขภาพ และวัคซีน ซึ่งกลุ่มเปราะบางทุกคนจะได้รับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค

การตรวจวินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็น ตามสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

แม้ว่ากรมราชทัณฑ์ จะดำเนินการเรื่องการดูแลสุขภาพผู้ต้องขังให้ครอบคลุมเพื่อลดความรุนแรงของการเจ็บป่วย หรือลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง ที่ต้องได้รับการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจมากกว่าผู้ต้องขังทั่วไป แต่ข้อจำกัดในเรื่องความแออัดของจำนวนผู้ต้องขัง โครงสร้างทางกายภาพของเรือนจำ จำนวนเจ้าหน้าที่ต่อผู้ต้องขังในเรือนจำ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในสังกัดของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งภายในเรือนจำผู้ต้องขังทั้งหมดต้องอาศัยสถานพยาบาลภายในเรือนจำเป็นหลักในการดูแลสุขภาพเบื้องต้น หากผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง มีโอกาสในการกลับสู่สังคมได้เร็วขึ้น โดยใช้รูปแบบการบริหารโทษแบบอื่นๆ ภายใต้ข้อกฎหมายที่กำหนด อาจส่งผลดีทางด้านจิตใจจากการได้รับการดูแลและได้รับกำลังใจจากครอบครัว รวมทั้งเข้ารับการรักษาตามระบบบริการสุขภาพจากหน่วยงานสาธารณสุขภายนอก

เรื่องที่ 3 การสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ

กรมราชทัณฑ์ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดบริการ การบริหารจัดการและพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ ให้สามารถเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมและกำจัดโรค การรักษาพยาบาล  การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข รวมถึงการเฝ้าระวังด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม สุขาภิบาลอาหารและน้ำในเรือนจำ โดยกรมราชทัณฑ์ ให้การดูแลรักษาสุขภาพของผู้ต้องขัง ตามหลักสิทธิมนุษยชน หลักวิชาการและมาตรฐานวิชาชีพด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ

โดยเรือนจำทุกแห่งมีสถานพยาบาลเรือนจำ เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ ให้บริการทางด้านสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ ภายใต้การสนับสนุนบริการจากโรงพยาบาลแม่ข่าย ซึ่งเป็นหน่วยบริการประจำในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามสิทธิหลักประกันสุขภาพ มีพยาบาลวิชาชีพเป็นผู้ให้บริการประจำในสถานพยาบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นหน่วยบริการหลักเพียงแห่งเดียวในเรือนจำ ที่ผู้ต้องขังทุกรายต้องมาเข้ารับบริการทาง ด้านสาธารณสุข ทั้งในด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันภัยสุขภาพ การรักษาโรค รวมถึงการฟื้นฟูสุขภาพกายและสุขภาพจิต หากมีผู้ต้องขังป่วยที่เจ็บป่วยเกินขีดความสามารถของพยาบาล จะมีทีมสหวิชาชีพของโรงพยาบาลแม่ข่ายเข้าให้บริการตรวจรักษาภายในเรือนจำ หรือดำเนินการส่งต่อผู้ต้องขังป่วยไปยังโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำนั้น ๆ

เรือนจำมีเจ้าหน้าที่พยาบาลวิชาชีพ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ที่คอยให้การดูแลสุขภาพและช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ ข้อมูลจากการให้บริการสุขภาพสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 จากสถานพยาบาลเรือนจำทั่วประเทศ พบว่า

-ผู้ต้องขังเข้ารับบริการที่สถานพยาบาล จำนวน 1,318,794 ครั้ง โดยเจ้าหน้าที่พยาบาลจะเป็นผู้ให้การรักษาโรคเบื้องต้น

-ผู้ต้องขังได้รับการส่งออกไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลแม่ข่าย (ไป-กลับ) จำนวน 55,262 ครั้ง

-ผู้ต้องขังที่โรงพยาบาลแม่ข่ายรับตัวให้นอนรักษาที่โรงพยาบาล (Admit) จำนวน 9,844 ครั้ง

สถิติโรคที่พบผู้ต้องขังในเรือนจำป่วยมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 โรคระบบทางเดินหายใจ

อันดับที่ 2  โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

อันดับที่ 3  โรคระบบทางเดินอาหาร

อันดับที่ 4 โรคระบบผิวหนัง

อันดับที่ 5 โรคระบบประสาทและสมอง

อันดับที่ 6 โรคระบบไหลเวียนโลหิตและโรคเลือด

อันดับที่ 7 โรคระบบต่อมไร้ท่อและโภชนาการ

อันดับที่ 8 โรคทางจิตเวช

อันดับที่ 9โรคติดเชื้อ

อันดับที่ 10 โรคระบบตา

ทั้งนี้ หากผู้ต้องขังป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคติดต่อระยะแพร่เชื้อ หรือโรคเรื้อรังรุนแรง เจ้าหน้าที่พยาบาลจะมีการแนะนำการดูแลตนเอง การรับประทานยา และส่งข้อมูลการรักษาไปให้กับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาโรคอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์มุ่งหวังพัฒนาระบบสาธารณสุขเรือนจำให้ได้มาตรฐาน สามารถให้การดูแลสุขภาพผู้ต้องขังทุกคน หากแต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขของเรือนจำ ซึ่งผู้ต้องขังป่วยบางส่วนมีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลเฉพาะโรคหรือเฉพาะทาง เช่น ผู้สูงอายุ

ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังระยะสุดท้าย ฯลฯ ซึ่งเป็นความท้าทายของกรมราชทัณฑ์ในดูแลกลุ่มผู้ต้องขังเหล่านี้ ให้ได้รับการดูแลตามสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งมีโอกาสได้รับกำลังใจจากครอบครัวหรือคนที่รัก ในวาระสุดท้ายของชีวิต 

เรื่องที่ 4 การดูแลผู้ต้องขังติดยาเสพติดและผลที่ได้รับ

กรมราชทัณฑ์ มีภารกิจเกี่ยวกับการควบคุมและแก้ไขพฤตินิสัยผู้ต้องขังและบุคคลที่อยู่ในความควบคุมหรือดูแลตามอำนาจและหน้าที่ โดยมุ่งพัฒนาเป็นองค์กร พัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อแก้ไขหรือฟื้นฟูผู้ต้องขังและบุคคลที่อยู่ในความควบคุมหรือดูแล ให้กลับตนเป็นพลเมืองดี มีสุขภาพกายและจิตที่ดี ไม่หวนกลับมากระทำผิดซ้ำ ได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือในการประกอบอาชีพที่สุจริต และสามารถดำรงชีวิตในสังคมภายนอก ได้อย่างปกติโดยสังคมให้การยอมรับ

ข้อมูลการคัดกรองด้วยแบบคัดกรองและส่งต่อผู้ต้องขังที่ใช้ยาและสารเสพติดเพื่อรับ การบําบัดรักษา กรมราชทัณฑ์ (บคก.รท.) (อ้างอิงจากแบบคัดกรองฯ ของกระทรวงสาธารณสุข) ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มีจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด 272,647 คน ได้รับการคัดกรองแล้ว จำนวน 256,068 คน คิดเป็นร้อยละ 93.92 ผลการคัดกรอง พบว่า

เป็นผู้ที่มีประวัติการใช้สารเสพติด จำนวน 189,214 คน คิดเป็นร้อยละ 73.89

ไม่เคยใช้สารเสพติด จำนวน 66,854 คน คิดเป็นร้อยละ 26.11

โดยสามารถแบ่งผู้ต้องขังที่มีประวัติการใช้สารเสพติด 189,214 คน ออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้

ผู้ใช้(ผู้ใช้ยาเสพติดเป็นครั้งคราว) 11,598 คน (ร้อยละ 6.13)

ผู้เสพ(ผู้ที่ติดใจในการเสพ มีความสุขเมื่อเสพ และมีแนวโน้มเสพบ่อยขึ้น)154,780 คน(ร้อยละ 81.80)

ผู้ติด(ผู้ที่หมกมุ่นในการเสพ มีอาการเมายา ส่งผลต่อการเรียนหรือการทำงาน)22,836 คน(ร้อยละ 12.07)

กรมราชทัณฑ์ มีแนวทางในการดำเนินงานด้านการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ต้องขังติดยาเสพติด โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของผู้ต้องขังตามแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้

1) ผู้ใช้

- ใช้การให้คำปรึกษาเบื้องต้น (Basic Counseling)/การให้คำแนะนำแบบสั้น (Brief Advice : BA) และการให้การบำบัดแบบสั้น(Brief Intervention : BI)

- โครงการ TO BE NUMBER ONE ในเรือนจำและทัณฑสถาน

2) ผู้เสพ

- โครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสำหรับกลุ่มผู้เสพยาเสพติดและผู้ค้ารายย่อยในเรือนจำและทัณฑสถาน (12 วัน)

3) ผู้ติด

- โครงการบำบัดฯ ในรูปแบบชุมชนบำบัด (4 เดือน)

โดยในปีงบประมาณ 2566 มีกลุ่มเป้าหมายการบำบัดฯ 32,000 คน และได้ดำเนินการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ต้องขัง จำนวนทั้งสิ้น 33,858 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 105.80 ซึ่งมากกว่าจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ และจากข้อมูลการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังที่ผ่านการบำบัดฯและได้รับการปล่อยตัว ภายใน 1 ปี เปรียบเทียบกับผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวทั้งหมด ตั้งแต่ปีงบประมาณพ.ศ. 2562 – 2566 พบว่า

- ผู้ต้องขังทั้งหมด เฉลี่ยกระทำผิดซ้ำร้อยละ 13.33

- ผู้ต้องขังที่ผ่านการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เฉลี่ยกระทำผิดซ้ำร้อยละ 10.87

ทั้งนี้ ผู้ต้องขังทุกรายเมื่อใกล้ถึงกำหนดที่จะได้รับการปล่อยตัวพ้นโทษ เรือนจำจะมีการจัดอบรมเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย เพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับคืนสู่สังคม ทั้งในด้านทักษะทางสังคม ทักษะอาชีพ สัมพันธภาพกับครอบครัว ฯลฯ และยังมีโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ต้องขังติดยาเสพติดก่อนพ้นโทษ เพื่อเสริมสร้าง ภูมิคุ้มกัน ลดอัตราการกลับไปใช้ยาเสพติดซ้ำภายหลังพ้นโทษแต่การดำเนินงานบำบัดและฟื้นฟูของกรมราชทัณฑ์ที่ผ่านมา มีจำนวนบุคลากร ที่ผ่านการอบรมจากกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ เพียง 280 คน โดยเจ้าหน้าที่มีภาระหน้าที่หลายด้าน ประกอบกับจำนวนผู้ต้องขังที่เกินอัตราความจุ พื้นที่และสภาพแวดล้อมภายในเรือนจำมีความแออัด ทำให้พื้นที่ไม่เหมาะต่อการดำเนินงานด้านการบำบัดฯ ดังนั้น หากกรมราชทัณฑ์สามารถลดจำนวนผู้ต้องขัง แก้ปัญหาคนล้นคุกได้ อัตราส่วนเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังมีความเหมาะสมทั้งในเรื่องการควบคุม และแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัย ก็จะทำให้การบำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดดำเนินการได้ดีขึ้น 

เรื่องที่ 5 การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี

กรมราชทัณฑ์ มีภารกิจหลักในการควบคุมผู้ต้องขังภายในเรือนจำ โดยบุคคลที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำนี้จะถูกเรียกรวมกันว่า “ผู้ต้องขัง” ซึ่งความจริงแล้วคำว่า “ผู้ต้องขัง” นี้ ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 4 ได้นิยามไว้ว่าหมายความว่า นักโทษเด็ดขาด คนต้องขัง และคนฝาก ส่วนในการแบ่งประเภทของผู้ต้องขังที่เป็นที่นิยมกันในทางวิชาการนั้นจะแบ่งตามกระบวนการดำเนินคดีอาญา ได้แก่ ผู้ที่ศาลยังไม่มีคำพากษาเด็ดขาด เรียกว่า “คนต้องขัง” ที่กฎหมายและสิทธิมนุษยชนให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และจะปฏิบัติเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ได้กำหนดไว้ใน มาตรา 29 บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทําการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลา ที่กระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้ใน กฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทําความผิดมิได้ ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษา อันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้ การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยให้กระทําได้เพียงเท่าที่จําเป็น เพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี ในคดีอาญา จะบังคับให้บุคคลให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองมิได้ คําขอประกันผู้ต้องหาหรือจําเลยในคดีอาญาต้องได้รับการพิจารณาและจะเรียกหลักประกัน จนเกินควรแก่กรณีมิได้ การไม่ให้ประกันต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

ส่วนนักโทษเด็ดขาด ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่ามีความผิดและต้องรับโทษจำคุก เพื่อเข้าสู่กระบวนการพัฒนาพฤตินิสัยกลับสู่สังคมต่อไป ดังนั้น เราจะเห็นถึงความมุ่งหมายของรัฐที่อยู่ภายใต้หลักนิติธรรม ว่าจะต้องกำหนดวิธีปฏิบัติต่อบุคคลทั้งสองประเภทนี้ให้แตกต่างกัน แม้ว่าจะเข้ามาในเรือนจำด้วยคำสั่งของศาลเหมือนกันก็ตามและโดยที่การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีนั้นถือเป็นหลักการสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ เครื่องมือทางกฎหมายจึงมีมากกว่าการขังไว้ในเรือนจำเพียงอย่างเดียว

ในปัจจุบัน กรมราชทัณฑ์ มีการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีภายในเรือนจำ  136 แห่ง (ไม่นับรวมสถานกักขัง สถานกักกัน และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์) จำนวน 51,168 คน แบ่งเป็น เพศชาย จำนวน 44,805 คน เพศหญิง จำนวน 6,363 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค.66 ) แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะตระหนักดีว่าตามเจตนารมย์ของกฎหมาย บุคคลเหล่านี้ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธ์ ที่จะต้องมีการปฏิบัติที่แตกต่างจากผู้ต้องขังเด็ดขาดซึ่งเป็นผู้ที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านพื้นที่ภายในของเรือนจำ ซึ่งเรือนจำส่วนใหญ่มีพื้นที่ขนาดเล็ก ทำให้ไม่สามารถแยกพื้นที่ในการปฏิบัติของผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีและผู้ต้องขังเด็ดขาดได้อย่างชัดเจน

ในการนี้ เพื่อให้มีการดำเนินการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีขึ้นในกรมราชทัณฑ์ ให้มีความเป็นมาตรการและแนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจน กรมราชทัณฑ์จึงได้มีการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี (SOPs) เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการแก่เรือนจำ/ทัณฑสถาน โดยได้กำหนดให้มีการแยกพื้นที่ในการคุมขังให้ชัดเจน การแต่งกายที่แตกต่างกัน โดยผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีน้ำตาล หรือสีลูกวัว สำหรับทรงผมนั้น ผู้ชายจะไว้ผมรองทรงสูง ส่วนผู้หญิง สามารถไว้ผมยาวประบ่าได้ แต่ต้องมัดรวบให้เรียบร้อย

อนึ่ง แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะมีแนวทางในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีที่ชัดเจนแล้ว แต่กรมราชทัณฑ์จะดำเนินการยกระดับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของกฎหมาย และเป็นไปตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง)ซึ่งมีแนวทางในการยกระดับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี โดยแบ่งได้ 2 ส่วน ดังนี้

ส่วนที่ 1 การดำเนินการยกระดับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังภายในกรมราชทัณฑ์ ซึ่งคณะกรรมการราชทัณฑ์ที่มี รมว.ยุติธรรม เป็นประธานได้มีมติเห็นชอบให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการใน 3 แนวทาง ดังนี้

แนวทางที่ 1 การกำหนดพื้นที่ตามลักษณะทางกายภาพของเรือนจำที่จะใช้คุมขัง ประกอบด้วย

(1) กำหนดเรือนจำศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ในจังหวัดที่มีกลุ่มเรือนจำตั้งอยู่ จำนวน 8 จังหวัด

(2) ดำเนินการการขยายกำแพง เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการควบคุมผู้ต้องขังและเพิ่มพื้นที่ในการแยกขังให้ชัดเจนมากขึ้น จำนวน 4 แห่ง

(3) การก่อสร้างเรือนจำใหม่ เพื่อทดแทนเรือนจำเดิมที่มีขนาดเล็ก ซึ่งการสร้างเรือนจำใหม่ จะสามารถแยกการคุมขังได้อย่างชัดเจน

แนวทางที่ 2 การปรับปรุงแนวทางในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เช่น การแต่งกาย การตัดผม และการใช้เงิน เป็นต้น

แนวทางที่ 3 ดำเนินการศึกษาวิจัย “โครงการทดลองนำร่องการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี : กรณีศึกษาเรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว” สังกัดเรือนจำกลางระยอง จ.ระยองในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สถานที่ของเรือนจำชั่วคราวในการคุมขังผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี ทั้งนี้ จะมีการศึกษาวิจัยที่ครอบคลุมในประเด็นเรื่อง การแต่งกายอาจพิจารณาใช้ใส่เครื่องแต่งกายของตนเอง การสั่งอาหารจากร้านค้าภายนอกเรือนจำ การไว้ทรงผมได้ตามปกติ โดยไม่ต้องตัดผมสั้น และการใช้จ่ายเงินต่อวัน เป็นต้น

ส่วนที่ 2 การขอให้ศาลสั่งให้ขังในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/1 ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐในการเบี่ยงเบนจำเลยออกจากระบบเรือนจำ โดยผู้มีอำนาจร้องขอต่อศาล ได้แก่ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำหรือผู้มีอำนาจจัดการตามหมายขัง โดยศาลจะสั่งให้จำเลยอยู่ในความควบคุมของผู้ร้องขอแทนการขังในเรือนจำหรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ดี ปัจจุบันยังไม่มีการประกาศสถานที่คุมขังเพื่อให้ศาลมีคำสั่งตามกฎหมายนี้

ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมได้อาศัยอำนาจตามกฎหมายดังกล่าว ออกกฎกระทรวงกำหนดสถานที่อื่นที่ใช้ในการขัง จำคุก หรือควบคุมผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด พ.ศ. 2552 ซึ่งปัจจุบันกระทรวงยุติธรรมยังไม่ได้มีการประกาศกำหนดสถานที่อื่นเป็นสถานที่คุมขังแต่อย่างใด แต่ขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้มีคำสั่งที่ 74/2566 ลงวันที่ 4 เม.ย.66 แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางการแก้ไข ปรับปรุง กฎกระทรวงสถานที่อื่นที่ใช้ในการขัง จำคุก หรือควบคุมผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด พ.ศ. 2552 โดยมีสำนักงานกิจการยุติธรรมได้รับมอบหมายในการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งหากมีการกำหนดแนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจน จะเป็นประโยชน์ต่อกรมราชทัณฑ์ในการใช้พื้นที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำสำหรับการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีต่อไป อันจะเป็นประโยชน์ในการแยกพื้นที่และวิธีการปฏิบัติให้มีความเหมาะสม ตรงตามหลักกฎหมาย รวมถึงหลักสิทธิมนุษยชน

อนึ่ง กรมราชทัณฑ์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการดังกล่าว จะเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติต่อผู้ที่กฎหมายถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้ได้รับสิทธิ ประโยชน์ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ทั้งยังเป็นการยกระดับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้มีประสิทธิภาพต่อไป

(ยังมีต่อ)